|
|
รายงานสรุปเนื้อหาและการนำไปใช้ประโยชน์จากการเข้าอบรม สัมมนา หรือประชุมวิชาการ
»
การศึกษาที่เน้นผลลัพท์และการประเมินการเรียนรู้ระดับรายวิชา (CLOs)
|
การศึกษาที่เน้นผลลัพท์และการประเมินการเรียนรู้ระดับรายวิชา (CLOs)
ผลลัพท์การเรียนรู้ตามคุณวุฒิแต่ละระดับ จะต้องสอดคล้องกับอัตลักษณ์ของหลักสูตร สถาบัน วิชาชีพ และบริบทของประเทศ/โลก ซึ่งประกอบด้วยอย่างน้อย 4 ด้าน ได้แก่
1. ความรู้ (Knowledge) คือ สิ่งที่สั่งสมมาจากการเรียน การค้นคว้า หรือประสบการณ์ที่เกิดจากหลักสูตร ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นต่อการต่อยอดในด้านความรู้เพื่อประกอบอาชีพ ดำรงชีพ และการพัฒนาที่ยั่งยืน
2. ทักษะ (Skills) คือความสามารถที่เกิดจาการเรียนรู้ ปฏิบัติให้เกิดความคล่องแคล่ว ชำนาญเพื่อพัฒนาวิชาชีพหรือวิชาการ
3. จริยธรรม (Ethics) คือพฤติกรรมหรือการกระทำของบุคคลลที่สะท้อนถึงความเป็นผู้มีคุณธรรม ศีลธรรม และจรรยาบรรณ เพื่อประโยชน์ส่วนรวมและส่วนตน ทั้งต่อหน้าและลับหลังผู้อื่น
4. ลักษณะบุคคล (Character) คือบุคลิกภาพ ลักษณะนิสัย และค่านิยมที่สะท้อนคุณลักษณะเฉพาะศาสตร์ วิชาชีพ และสถาบัน โดยผ่านการเรียนรู้ และฝึกประสบการณ์จากหลักสูตรให้มีความเหมาะสมกับระดับคุณวุฒิ
-การเชื่อมโยง PLO สู่ CLO
อาจารย์ผู้สอนต้องเห็น PLO เป็นภาพเดียวกัน ซึ่งเป็นความสามารถที่สำคัญและจำเป็นที่ผู้เรียนต้องทำได้เมื่อสำเร็จการศึกษา แล้วกำหนด CLOs หรือวัตถุประสงค์ของรายวิชาที่สอดคล้องกับ PLO และในการกำหนด CLOs จะต้องนำไปสู่การวัดประเมินผู้เรียนได้ ตามหลัก Taxonomy Bloom’s หลังจากนั้นจัดกิจกรรมการเรียน แล้ววัดและประเมินผู้เรียน
- การเชื่อมโยง CLOs กับวิธีการจัดการเรียนการสอน และการประเมินในระดับรายวิชา โดยการพิจารณาในด้านต่าง ๆ ดังนี้ ด้านเนื้อหาสาระ ด้านวัตถุประสงค์ ด้านการประเมินผล และ ด้านการจัดการเรียนรู้
|
คำสำคัญ :
การเชื่อมโยง PLO สู่ CLO
|
กลุ่มบทความ :
กลุ่มงานตามสมรรถนะบุคลากร
|
หมวดหมู่ :
กลุ่มงานสายวิชาการ
|
สถิติการเข้าถึง :
เปิดอ่าน
18
ครั้ง | แสดงความคิดเห็น
0
ครั้ง
|
ผู้เขียน
เจนจิรา ทิพย์ชะ
วันที่เขียน
1/12/2566 10:50:50
แก้ไขล่าสุดเมื่อ
7/12/2566 11:14:45
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
การพัฒนาระบบสารสนเทศ
»
การเขียนบทความลงวารสารวารสารแม่โจ้เทคโนโลยีสารสนเทศและนวัตกรรม
|
บทความวิชาการมีบทบาทสำคัญในฐานะที่เป็นรูปแบบอันเป็นสากลในการเผยแพร่ความรู้ ความคิด และพัฒนาการที่ได้จากการศึกษา ค้นคว้า
วิจัย ในแง่มุมต่าง ๆ มหาวิทยาลัยแม่โจ้จึงได้จัดทำ “วารสารเทคโนโลยีสารสนเทศและนวัตกรรม” ขึ้นเพื่อส่งเสริมการผลิตและเผยแพร่บทความ
วิชาการโดยมีกำหนดการตีพิมพ์เป็นราย 4 เดือน หรือ กำหนดออกปีละ 3 ฉบับ ในเดือนมกราคม พฤษภาคม และเดือนกันยายน ของทุกปี
• ประเภทผลงานที่รับตีพิมพ์
- บทความปริทัศน์ (Review Article) ทั้งในรูปแบบของการเรียบเรียงผลงานวิจัยที่ผ่านมา และการเรียบเรียงสรุปความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
สารสนเทศในด้านใดด้านหนึ่ง หรือบทความแนะนำองค์ความรู้ในสาขาการวิจัยที่น่าสนใจ (Tutorial Article)
- บทความวิชาการ (Academic Article) ที่ให้ความรู้อันเป็นประโยชน์แก่นักวิชาชีพด้านเทคโนโลยีสารสนเทศหรือประชาชนทั่วไป
- บทความวิจัย (Research Article) ด้านนวัตกรรมการศึกษาและการจัดการเรียนการสอนในสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศและคอมพิวเตอร์
• ขอบเขตของบทความวิชาการ
- งานวิจัยและบทความทางวิชาการทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
- งานวิจัยและบทความในสาขาวิชาต่าง ๆ ที่นำเอาเทคโนโลยีสารสนเทศไปประยุกต์ใช้
- งานวิจัยและบทความด้านอื่น ๆ ในองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารทั่วประเทศ
Ref: https://mitij.mju.ac.th/JOURNAL/1.Promote_MITIJ.pdf
|
คำสำคัญ :
เทคโนโลยีสารสนเทศ บทความวิจัย วารสารเทคโนโลยีสารสนเทศและนวัตกรรม วิทยาการคอมพิวเตอร์
|
กลุ่มบทความ :
กลุ่มงานตามสมรรถนะบุคลากร
|
หมวดหมู่ :
กลุ่มงานเทคโนโลยีสารสนเทศ
|
สถิติการเข้าถึง :
เปิดอ่าน
111
ครั้ง | แสดงความคิดเห็น
0
ครั้ง
|
ผู้เขียน
สมนึก สินธุปวน
วันที่เขียน
28/9/2566 13:16:08
แก้ไขล่าสุดเมื่อ
6/12/2566 15:24:27
|
|
|
|
|
|
การทบทวนวรรณกรรมอย่างมีระบบ (Systematic Review)
»
การทบทวนวรรณกรรมอย่างมีระบบ (Systematic Review) โดยใช้ chat gpt เข้ามาช่วย
|
การทบทวนวรรณกรรมอย่างมีระบบ (Systematic Review) เป็นกระบวนการที่เรียบร้อยและเป็นระบบในการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจากงานวิจัยที่มีอยู่เพื่อสรุปข้อมูลและข้อสรุปที่มีค่าในสาขาวิชาต่าง ๆ การใช้ Chat GPT ในกระบวนการ Systematic Review ช่วยให้มีการสร้างบทคัดย่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขั้นตอนหลักของบทคัดย่อคือดังนี้:
คำถามทบทวนวรรณกรรม: กำหนดคำถามทบทวนวรรณกรรมอย่างชัดเจน ซึ่งจะเป็นแนวทางในการค้นหางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง.
ค้นหางานวิจัย: ใช้ Chat GPT เพื่อช่วยในการค้นหางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยการระบุคำสำคัญหรือคำหลักที่เกี่ยวข้องกับคำถามทบทวน.
คัดเลือกงานวิจัย: รายการงานวิจัยที่เกี่ยวข้องจะถูกคัดเลือกโดยการใช้เกณฑ์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ใช้ Chat GPT เพื่อรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากรายการงานวิจัยนี้.
การวิเคราะห์ข้อมูล: Chat GPT สามารถช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากงานวิจัย รวมถึงการสร้างสรุปเกี่ยวกับข้อมูลและผลลัพธ์ที่สำคัญ.
การสรุปและเขียนบทคัดย่อ: ใช้ Chat GPT เพื่อช่วยในกระบวนการสรุปข้อมูลที่ได้จากการทบทวนวรรณกรรมและเขียนบทคัดย่อของงานวิจัยโดยรวมข้อมูลหลายรายการเป็นเนื้อหาที่มีระเบียบและสรุปคำแนะนำหรือข้อสรุป.
การใช้ Chat GPT เป็นเครื่องมือในการสร้างบทคัดย่อสามารถช่วยลดเวลาและความซับซ้อนในกระบวนการ Systematic Review แต่ควรระมัดระวังในการตรวจสอบและปรับปรุงเนื้อหาที่สร้างขึ้นโดย AI เพื่อให้มั่นใจว่ามีความถูกต้องและมีคุณภาพสูงสำหรับงานวิจัยของคุณ
|
คำสำคัญ :
Chat GPT Systematic Review
|
กลุ่มบทความ :
กลุ่มงานตามสมรรถนะบุคลากร
|
หมวดหมู่ :
กลุ่มงานช่วยวิชาการ
|
สถิติการเข้าถึง :
เปิดอ่าน
66
ครั้ง | แสดงความคิดเห็น
0
ครั้ง
|
ผู้เขียน
ศิรินภา อ้ายเสาร์
วันที่เขียน
26/9/2566 16:11:39
แก้ไขล่าสุดเมื่อ
6/12/2566 21:17:34
|
|
|
|
|
SAFE2023
»
SAFE2023 น้ำหอม กุหลาบ การสกัด
|
กุหลาบมอญ มีชื่อวิทยาศาสตร์คือ Rosa damascene Mill. วงศ์ Rosaceae ชื่อสามัญคือ Damask rose เป็นดอกไม้ที่สวยงาม มีกลิ่นหอมแรง ลักษณะสีดอกเป็นสีชมพูเข้ม ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันมีการนำดอกกุหลาบมอญมาใช้ประโยชน์อย่างหลากหลาย ทั้งด้านงานศิลปะ ด้านอาหารแต่งกลิ่น รส นำมาใช้ในการผลิตและปรุงน้ำหอม และด้านการแพทย์และเภสัชวิทยา ภาพรวมการนำมาใช้ประโยชน์ เช่น นำดอกกุหลาบมาร้อยพวงอุบะดอกไม้เพื่อนำไปใช้ในงานพิธีต่างๆ การนำดอกไม้สดมารับประทาน นำมาอบหรือตากแห้งผลิตเป็นชากุหลาบ หรือกระทั่งนำดอกกุหลาบมอญมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย สกัดเป็นหัวน้ำหอม ทำบุหงาเครื่องหอม นอกจากการนำดอกกุหลาบมาใช้ประโยชน์ดังกล่าวแล้ว พบว่าฤทธิ์ทางชีวภาพและทางเภสัชวิทยาของดอกกุหลาบมอญมีหลากหลาย เช่น ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย ฤทธิ์ต้านการอักเสบ ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ฤทธิ์ต้านไวรัส HIV ยาระบายอ่อนๆ ระงับอาการไอ ยาลดปวด ยาต้านการชัก เป็นต้น ในกลีบกุหลาบมีวิตามิน เกลือแร่ และแร่ธาตุหลายชนิด เช่น วิตามินซี วิตามินบี วิตามินเค โพแทสเซียม แร่ธาตุทองแดง ไอโอดีน แคลเซียม แคโรทีน เป็นต้น วิตามิน เกลือแร่ และแร่ธาตุ เหล่านี้ช่วยเรื่องระบบหัวใจ การสร้างเม็ดเลือด กระบวนการทำงานของต่อมไร้ท่อในร่างกาย รวมถึงการสร้างฮอร์โมนของต่อมไทรอยด์ น้ำมันหอมระเหยจากดอกกุหลาบช่วยคลายเครียด ลดการอักเสบ ฆ่าทำลายเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส สมานรักษาแผล ทำให้นอนหลับ ช่วยระงับประสาท สารสกัดจากดอกกุหลาบพบสารสำคัญหลายชนิดที่ช่วยบำรุงและดูแลผิวหนัง เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ปรับสมดุลสภาพผิว ช่วยบรรเทาผดผื่นแดง อาการแพ้ระคายเคืองจากสารเคมี ลดการอักเสบของผิวจากการบวม ร้อนแดง จากรังสียูวีในแสงแดด เสริมภูมิต้านทานของผิวหนัง
โดยทั่วไปเทคนิคการสกัดน้ำมันหอมระเหยมีหลายเทคนิค เช่น เทคนิคการกลั่นด้วยไอน้ำ (Stream distillation) เทคนิคการกลั่นด้วยน้ำ (Hydrodistillation) ซึ่งทั้งสองเทคนิคเป็นรูปแบบวิธีการสกัดด้วย Clavenger method การสกัดด้วยวิธีการบีบเย็น (Cold pressed) การสกัดด้วยตัวทำละลายอินทรีย์ (Solvent extraction) โดยตัวทำละลาย ที่มีการรายงานการนำมาใช้สกัด เช่น Petroleum ether, n-hexane เป็นต้น เทคนิคการสกัดด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เหลวหรือเรียกว่า การสกัดด้วยของไหลวิกฤตยิ่งยวด (Supercritical CO2 extraction) นอกจากนี้ยังมีเทคนิคอื่นๆ เช่น การสกัดด้วยไขมันหรืออองเฟลอราจ (Enfleurage) การแช่หมัก (Maceration) น้ำมันหอมระเหยจากดอกกุหลาบมีหลายเทคนิค การสกัดด้วยเทคนิคดั้งเดิมส่วนใหญ่จะมีสองขั้นตอนหลักๆ คือ ขั้นตอนแรกเป็นการสกัดด้วยตัวทำละลายอินทรีย์ จะได้ผลิตภัณฑ์เรียกว่า rose concrete จะได้ส่วนสกัดที่เป็นสารประกอบหลายชนิด เช่น Paraffins, Fatty acids, Fatty acid methyl esters สารประกอบ di- Terpenic และ tri-Terpenic เป็นต้น ในขั้นตอนที่สองจะนำส่วนกลั่นในขั้นตอนแรกนำมาสกัดด้วยเทคนิคการกลั่นด้วยน้ำหรือ Hydrodistillation ในขั้นตอนนี้จะให้สารประกอบหลักในน้ำมันหอมระเหยดอกกุหลาบที่นำไปใช้ผลิตผลิตภัณฑ์เครื่องหอมต่างๆ ปัจจุบันมีการพัฒนาเทคนิคการสกัดน้ำมันหอมระเหยดอกกุหลาบ เช่น เทคนิค Supercritical CO2 extraction ที่ความดัน 80 บาร์ และอุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส ที่จะช่วยลดสิ่งเจือปนที่พบในการสกัดด้วยตัวทำละลายอินทรีย์ที่ส่วนใหญ่เป็นสารไม่ระเหย เช่น Paraffins สำหรับส่วนสกัดที่เรียกว่า สารสกัดกุหลาบ สามารถเตรียมสารสกัดได้หลายเทคนิควิธี เช่น การกลั่นด้วยน้ำ การแช่หมัก การสกัดด้วยตัวทำละลายอินทรีย์ เป็นต้น นอกจากเทคนิคการสกัดดังกล่าวข้างต้นแล้ว อีกหนึ่งเทคนิคการสกัดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เนื่องจากไม่ใช้ตัวทำละลายอินทรีย์ ใช้ตัวทำละลายคือ น้ำ และเป็นเทคนิคหนึ่งที่สามารถสกัดสารจากพืชที่สนใจ และสกัดน้ำมันหอมระเหยได้ คือ เทคนิคการสกัดด้วยคลื่นไมโครเวฟหรือ Microwave assisted extraction (MAE) (ทรงศักดิ์, 2559) ที่มีการพัฒนารูปแบบการสกัดทั้งแบบ Microwave hydrodistillation (MWHD) และ Solvent free microwave assisted extraction (SFME) สามาถใช้สกัดน้ำมันหอมระเหยรวมถึงสารสกัดได้ โดยมีวัตถุดิบพืช ดอกไม้ สมุนไพร ในลักษณะพืชสด หรือแช่แข็ง เทคนิคประยุกต์เหล่านี้จะทำให้ลดระยะเวลาการสกัด ลดการใช้สารเคมีที่เป็นตัวทำละลายอินทรีย์ในการสกัด เพิ่มคุณภาพน้ำมันหอมระเหยและสารสกัดรวมถึงได้ร้อยละผลผลิตสูงมากขึ้น
|
คำสำคัญ :
การสกัด กุหลาบ น้ำหอม
|
กลุ่มบทความ :
กลุ่มงานตามสมรรถนะบุคลากร
|
หมวดหมู่ :
กลุ่มงานสายวิชาการ
|
สถิติการเข้าถึง :
เปิดอ่าน
59
ครั้ง | แสดงความคิดเห็น
0
ครั้ง
|
ผู้เขียน
ฐิติพรรณ ฉิมสุข
วันที่เขียน
25/9/2566 23:07:00
แก้ไขล่าสุดเมื่อ
7/12/2566 1:01:53
|
|
|
|
สรุปรายงานจากการอบรม
»
Quantitative PCR (qPCR)
|
PCR (Polymerase chain reaction) เป็นเทคนิคที่มีการเพิ่มจำนวนสารพันธุกรรม หรือ ดีเอ็นเอของสิ่งมีชีวิต จากปริมาณ DNA ตั้งต้น เพิ่มขึ้นเป็นล้านล้านสำเนา ภายในระยะเวลาอันสั้น ขั้นตอนในการทำ PCR แบบดั้งเดิม ได้แก่ การทำให้ DNA เสียสภาพที่อุณหภูมิสูงและแยกตัวออกเป็นสายเดี่ยว (Denatulation) การจับกันของไพรเมอร์และดีเอ็นเอ โดยการลดอุณหภูมิลง ไพรเมอร์จะเข้าไปจับกับดีเอ็นเอแม่พิมพ์ (Annealing) และการสังเคราะห์ดีเอ็นเอ โดย Taq DNA polymerase จะนำเบสต่างๆ (A, T, C, G) ไปสังเคราะห์ต่อจากไพรเมอร์จนได้ดีเอ็นเอสายคู่เหมือนเดิม (Extension)
Quantitative PCR (QPCR) หรือ PCR เชิงปริมาณ เหมาะสำหรับใช้ในหาปริมาณ DNA และสามารถตรวจสอบการขยายตัวของโมเลกุล DNA ได้ในระหว่างการทำ PCR ในเวลาจริง เป็นเทคนิคที่ถูกพัฒนามาจากการทำ PCR แบบดั้งเดิม โดยใช้การติดฉลากด้วยสารเรืองแสงประเภท fluorochrome ทำให้สามารถวัดปริมาณของดีเอ็นเอเป้าหมายตั้งต้นจากสิ่งต้องการตรวจวัดได้และสามารถวัดปริมาณดีเอ็นเอที่เพิ่มขึ้นมาได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องรอให้กระบวนการเสร็จสิ้นก่อน
|
คำสำคัญ :
PCR, qPCR
|
กลุ่มบทความ :
กลุ่มงานตามสมรรถนะบุคลากร
|
หมวดหมู่ :
กลุ่มงานช่วยวิชาการ
|
สถิติการเข้าถึง :
เปิดอ่าน
65
ครั้ง | แสดงความคิดเห็น
0
ครั้ง
|
ผู้เขียน
วริศรา สุวรรณ
วันที่เขียน
25/9/2566 13:14:19
แก้ไขล่าสุดเมื่อ
6/12/2566 14:52:35
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|