|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosafety) และการรักษาความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity)
»
ความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosafety) และการรักษาความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity)"
|
ความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosafety) และการรักษาความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity) เป็นสองแนวทางหลักในการปกป้องสุขภาพมนุษย์และสิ่งแวดล้อมจากอันตรายที่เกิดจากสิ่งมีชีวิตที่อาจก่อให้เกิดโรคหรือความเสี่ยงต่างๆ โดยมีความแตกต่างในแนวทางการจัดการและการดำเนินการ ความปลอดภัยทางชีวภาพมุ่งเน้นไปที่การป้องกันและควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อโรคหรือสารพันธุกรรมที่มีความเสี่ยง เช่น การใช้เทคโนโลยีทางชีวภาพในห้องปฏิบัติการ หรือการจัดการกับวัสดุชีวภาพที่อาจเป็นอันตราย โดยมีการตั้งมาตรฐานและข้อบังคับที่เข้มงวดเพื่อป้องกันการติดเชื้อและการแพร่กระจายของเชื้อโรค
ในทางตรงกันข้าม การรักษาความปลอดภัยทางชีวภาพมุ่งเน้นที่การป้องกันภัยคุกคามจากการใช้งานและการจัดการทรัพย์สินทางชีวภาพที่มีค่าหรืออันตราย ซึ่งรวมถึงการป้องกันการโจรกรรม การเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต และการใช้ทรัพย์สินทางชีวภาพในทางที่ผิด โดยการรักษาความปลอดภัยทางชีวภาพจะเน้นที่การจัดการข้อมูล การควบคุมการเข้าถึง และการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่เพื่อให้สามารถจัดการกับภัยคุกคามที่เกิดจากการใช้งานหรือการจัดการที่ไม่เหมาะสม
การดำเนินงานในด้านความปลอดภัยทางชีวภาพและการรักษาความปลอดภัยทางชีวภาพต้องมีการประสานงานกันอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจว่าสิ่งมีชีวิตที่มีความเสี่ยงถูกจัดการอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อสุขภาพมนุษย์และสิ่งแวดล้อมได้อย่างมาก การทำงานร่วมกันระหว่างองค์กรต่างๆ รวมถึงการพัฒนามาตรฐานที่เป็นสากลจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างระบบการจัดการความเสี่ยงที่ครบวงจรและมีประสิทธิภาพ
|
คำสำคัญ :
|
กลุ่มบทความ :
บทความการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทั่วไป
|
หมวดหมู่ :
วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี
|
สถิติการเข้าถึง :
เปิดอ่าน
1011
ครั้ง | แสดงความคิดเห็น
0
ครั้ง
|
ผู้เขียน
ศิรินภา อ้ายเสาร์
วันที่เขียน
2/9/2567 15:55:57
แก้ไขล่าสุดเมื่อ
1/4/2568 0:05:37
|
|
|
|
|
|
ความรู้จากการเข้าร่วมอบรม/สัมมนา/ประชุมวิชาการ
»
การเผยแพร่ความรู้ที่ได้จากการเข้าร่วมประชุมวิชาการระดับชาติวิจัยรำไพพรรณี ครั้งที่ 17 เนื่องในวโรกาสคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ครบ 119 ปี เรื่อง “งานวิจัยและนวัตกรรมสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG Bio-Circular-Green Economy”
|
ตามที่คณะวิทยาศาสตร์ ได้อนุญาติให้ข้าพเจ้า นางอัจฉรา แกล้วกล้า ตำแหน่ง ผู้ช่วยศาสตราจารย์ เข้าร่วมการประชุมวิชาการระดับชาติวิจัยรำไพพรรณี ครั้งที่ 17 เนื่องในวโรกาสคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ครบ 119 ปี เรื่อง “งานวิจัยและนวัตกรรมสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG Bio-Circular-Green Economy” เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2566 ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ (อาคาร 36) มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี จังหวัดจันทบุรี (ในรูปแบบออนไลน์) นั้น
บัดนี้ ข้าพเจ้าได้เข้าร่วมการประชุมวิชาการระดับชาติวิจัยรำไพพรรณี ครั้งที่ 17 เนื่องในวโรกาสคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ครบ 119 ปี เรื่อง “งานวิจัยและนวัตกรรมสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG Bio-Circular-Green Economy” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น จึงขอรายงานสรุปเนื้อหาและประโยชน์ที่ได้รับ ดังนี้
1. สรุปเนื้อหาที่ได้รับจากการเข้าประชุม/อบรม ฯลฯ
1.1 เข้ารับฟังการบรรยายพิเศษ เรื่อง “แนวทางการนำทรัพย์สินทางปัญญา ผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม พ.ศ.2564" โดย ดร.สรรพวรรธ วิทยาศัย ผู้จัดการหน่วยจัดการทรัพย์สินทางปัญญา และถ่ายทอดเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับการได้ผลงานทางวิชาการแล้วนำผลงานนั้นไปใช้ประโยชน์ ที่ผ่านมาต้องมีการทำข้อตกลงในแต่ละขั้นตอนที่มีภาคเอกชนเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้เป็นอุปสรรคต่อหน่วยงานมหาวิทยาลัย และผู้วิจัยเป็นอย่างมาก สำหรับในปัจจุบันมหาวิทยาลัย จะต้องมีการจัดทำระบบในการเปิดเผยผลงานวิจัย ซึ่งทางมหาวิทยาลัย และผู้วิจัยต้องตัดสินใจว่าจะเป็นเจ้าของผลงานหรือไม่ภายในระยะเวลา 1 ปี และต้องมีการยื่นรายงานการขอนำไปใช้ประโยชน์ภายในระยะเวลา 2 ปี ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติการใช้สัญญาทุนภาครัฐ ดังนั้นทางมหาวิทยาลัยต้องมีระบบ หน่วยงาน และแผนในการเตรียมข้อมูลว่าแต่ละงานวิจัยมีความคุ้มค่าการใช้ประโยชน์หรือไม่ เรียกว่า การจัดการทรัพย์สินทางปัญญา และ การจัดสรรประโยชน์ ตัวอย่างของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีระเบียบระบุไว้ว่างานวิจัยใดที่มีการนำไปใช้ในการเรียนการสอน งานวิจัยนั้นเป็นทรัพย์สินของทางมหาวิทยาลัย ประเภทของทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศไทย มี 2 รูปแบบ คือ การจดทะเบียนให้ได้สิทธิ์ และการจดแจ้งสิทธิ์ ดังนี้
ทรัพย์สินทางอุตสาหกรรม จดทะเบียนให้ได้สิทธิ์ จดแจ้งสิทธิ์
- เครื่องหมายการค้า √
- ความลับทางการค้า/ความรู้ทางเทคนิค √
- แบบผังภูมิวงจรรวม √
- สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ √
- สิทธิบัตร/อนุสิทธิบัตร √
- งานอันเป็นลิขสิทธิ์ √
- พืชพันธุ์ √
การบริหารกระบวนการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ และการขึ้นทะเบียนในสิทธิ์หรือแจ้งสิทธิ์จะต้องมีความสอดคล้องและมีการวางแผน หากเผยแพร่ผลงานทางวิชาการไปก่อนหน้าแล้ว อาจไม่สามารถขึ้นทะเบียนในสิทธิ์หรือแจ้งสิทธิ์ได้ ข้อควรระวังในการทำแผนการใช้ประโยชน์ภายหลังการเปิดเผยผลงานทางวิชาการ คือ แผนการใช้ประโยชน์ควรมีเทคนิคการเขียนให้สามารถทำได้ หรือคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ผลลัพธ์สูง หากเปอร์เซ็นต์ผลลัพธ์ต่ำ หรือทำได้น้อยกว่าแผน จะทำให้ผลงานที่เป็นทรัพย์สินนั้นไม่สามารถอ้างสิทธิ์ได้
1.2 เข้ารับฟังการปาฐกถาพิเศษโดย ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สวทช.) ในหัวข้อเรื่อง “งานวิจัยและนวัตกรรมสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิต ด้วยโมเดลเศษฐกิจ BCG (Bio-circular-Green Economy)” โดยได้บรรยายเกี่ยวกับการนำ BCG มาใช้เพื่อพัฒนาประเทศไทย ซึ่งก่อนหน้านั้นจะมีโปรแกรมเกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมต่อการพัฒนาประเทศของทุกประเทศ ประกาศโดยสหประชาชาติ เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ต่อมาได้มีการพัฒนามาเป็นโปรแกรม BCG เพื่อตอบสนองต่อการท้าทายในปัจจุบันจนถึงอนาคต โดยมีรายละเอียด ดังนี้
ประเด็นท้าทาย สิ่งที่พบหรือปรากฏการณ์
Digital disruption ครั้งที่ 1 internet ครั้งที่ 2 mobile internet ครั้งที่ 3 internet of think ครั้งที่ 4 AI and Robotic
Geopolitical Risk ตะวันออกกลาง จีน vs ไต้หวัน รัสเซีย vs ยูเครน
Healthcare crisis SARs>Ebola>Covid-19
Recession Inflation>Oil price>GDP drop
Climate Change Natural disasters Activist vs Protester Regulatory uncertainly Business risks
ประเด็นท้าทายเหล่านี้มีประโยชน์ในการขับเคลื่อนทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในปัจจุบัน เช่น การเกิด covid-19 นำสู่ความก้าวหน้าทางการแพทย์ และ internet conference โดยรัฐบาลได้มีการตอบสนองต่อประเด็นท้าทายเหล่านี้ในหลายๆ นโยบาย เช่น นโยบายการเงินสีเขียว การสร้างข้อตกลงใน APEC Economy ร่วมกับนานาประเทศ เป็นต้น การทำแผน BCG model ตั้งแต่วันที่ 8 ก.พ. 2565 เรียกว่า แผนปฏิบัติการการพัฒนาประเทศด้วยโมเดลทางเศรษฐกิจ โดยตั้งเป้าหมายไว้ในปี 2570 ในด้านต่าง ๆ ดังนี้ การเพิ่มอัตราการเจริญทางเศรษฐกิจ การลดความเหลือมล้ำ การรักษาธรรมชาติ และการพึ่งพาตนเอง ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้ในการขับเคลื่อน รัฐบาลได้วางกลไกการขับเคลื่อนส่วนหนึ่งผ่านทาง สวทช. ในการเอาความรู้ทางด้านการวิจัยมาสนับสนุน BCG ซึ่งทรัพยากรด้านบุคคลมีมากถึง 2,901 คน ซึ่งอยู่ในระดับปริญญาเอกถึง 67% และมีการวางแผนให้สอดคล้องกับ BCG มีเป้าหมายเพื่อยกระดับให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี มีรายได้เพิ่มมากขึ้น มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีสิ่งแวดล้อมที่ดีในอนาคต
1. ประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานในตำแหน่งหน้าที่
1.1 ได้รับความรู้และประสบการณ์จากการเข้าร่วมการประชุมวิชาการฯ
1.2 ได้รับความรู้เกี่ยวกับงานวิจัยในด้านต่างๆ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในด้านการเรียน การสอน และการทำงานวิจัย
1.3 เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในผลงานการวิจัยระหว่างบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาต่างๆ
2. ประโยชน์ต่อหน่วยงาน (ระดับงาน/หลักสูตร/คณะ)
จากการเข้าร่วมประชุมวิชาการ และฟังการบรรยายในหัวข้อเรื่องต่าง ๆ ซึ่งเป็นผลงานวิจัยใหม่ๆ ของนักวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญ ความรู้ที่ได้จากการฟังบรรยาย ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อหลักสูตรและคณะ และนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ทั้งในด้านการเรียนการสอน โดยได้นำความรู้ที่ได้จากการฟังบรรยายดังกล่าวมาประยุกต์และถ่ายทอดให้แก่นักศึกษาและผู้ร่วมงาน ใช้ในการเรียนการสอนและงานวิจัย นอกจากนั้นยังได้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และความรู้ต่างๆ กับนักวิจัยที่เชี่ยวชาญ ซึ่งทำให้เกิดประโยชน์ต่อหลักสูตรและคณะเป็นอย่างยิ่งโดยจะช่วยทำให้การปฏิบัติงานได้อย่างมีคุณภาพและมีประสิทธิภาพต่อไป
|
คำสำคัญ :
|
กลุ่มบทความ :
บทความการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทั่วไป
|
หมวดหมู่ :
วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี
|
สถิติการเข้าถึง :
เปิดอ่าน
311
ครั้ง | แสดงความคิดเห็น
0
ครั้ง
|
ผู้เขียน
อัจฉรา แกล้วกล้า
วันที่เขียน
31/3/2567 11:09:58
แก้ไขล่าสุดเมื่อ
31/3/2568 16:21:17
|
|
|
|
|
|
|
การบริหารบนความหลากหลาย (Diversity and Inclusion Management)
»
การบริหารบนความหลากหลาย
|
การบริหารบนความหลากหลายเป็นการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความหลากหลายที่มีอยู่ในสังคมปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นความหลากหลายในเรื่องของ เพศ อายุ อาชีพ วัฒนธรรม ความเชื่อ เชื้อชาติ หรือสภาพร่างกาย เป็นต้น ซึ่งในการดำรงชีวิตของคนเราต้องเจอความแตกต่างนั้น ๆ อยู่ตลอดเวลา โดยเน้นการทำความเข้าใจถึงความหลากหลายของผู้คนในสังคม ในองค์กร เพื่อให้สามารถปฏิบัติต่อกันและอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข สังคมพหุวัฒนธรรม เป็นการผสมผสานทางชาติพันธุ์ ศาสนา และวัฒนธรรมที่หลากหลาย โดยอาศัยอยู่ตามภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศ หลายครั้งบุคคลที่เป็นส่วนน้อยมักถูกเลือกปฏิบัติทางสังคมและถูกจำกัดสิทธิบางอย่างที่แตกต่างจากคนกลุ่มอื่น ทำให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยได้มีการปรับตัวเข้ากับสังคมพหุวัฒนธรรมและให้การเคารพสิทธิของแต่บุคคลเพิ่มมากขึ้น ทั้งในรูปแบบของกฎหมายและที่ไม่เป็นกฎหมาย เช่น การยอมรับ/เคารพด้านความแตกต่างทางเพศ ความแตกต่างด้านร่างกาย ความแตกต่างด้านศาสนา การเคารพสิทธิของมนุยชน ทำให้ลดปัญหาสังคมได้หลายด้าน เช่น การคุกคาม/การล่วงละเมิดทางเพศ การก่ออาชญากรรม/ความรุนแรงต่อบุคคลอื่น การกีดกันทางสายอาชีพเนื่องจากความต่างทางเพศหรือสภาพร่างกาย ปัญหาความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการ/ปัจจัยพื้นฐานทางสังคม
การจัดการกับความหลากหลายในสังคม ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 เป็นกฎหมายหลักที่ให้หลักประกันศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ขจัดการเลือกปฏิบัติ และมุ่งลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ซึ่งรัฐบาลมีนโยบายในรูปแบบของยุทธศาสตร์ชาติ แผนปฏิรูปประเทศ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และแผนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ในการขับเคลื่อนการจัดการกับความหลากหลายของสังคมไทย นอกจากนั้นแล้ว แต่ละองค์กร/หน่วยงานก็ต้องมีการจัดการกับความหลากหลายของบุคคลในองค์กรเพื่อสร้างความสมานฉันท์กลมเกลียวในองค์กร ที่จะทำให้คนในองค์กรนำความรู้และประสบการณ์มาใช้ในการทำงานให้มากที่สุด องค์กรก็จะสามารถบรรลุเป้าหมายขององค์กรได้เช่นเดียวกัน
|
คำสำคัญ :
|
กลุ่มบทความ :
บทความการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทั่วไป
|
หมวดหมู่ :
สังคม ครอบครัว ชุมชน เศรษฐกิจ
|
สถิติการเข้าถึง :
เปิดอ่าน
1541
ครั้ง | แสดงความคิดเห็น
0
ครั้ง
|
ผู้เขียน
แววตา ติ๊บมา
วันที่เขียน
22/1/2567 15:38:38
แก้ไขล่าสุดเมื่อ
31/3/2568 13:35:18
|
|
|
|
|
|
|
อ. มธุรส ชัยหาญ
»
การเข้าร่วมประชุมและนำเสนอผลงานภาคบรรยายในการประชุมวิชาการเครือข่ายวิจัยนิเวศวิทยาป่าไม้ ครั้งที่ 12 (Thai Forest Ecological Research Network Conference, T-FERN # 12) หัวข้อเรื่อง “ธรรมชาติ ป่าไม้ และที่ดิน: การปรับตัวและการบรรเทาต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” เมื่อวันที่ 9-10 กุมภาพันธุ์ 2566
|
คุณสมบัติในการต้านออกซิเดชันและการยับยั้งแบคทีเรียสาเหตุฟันผุของสารสกัดใบเมี่ยงธรรมชาติ
Characteristics of Antioxidation and Antibacterial of Dental Caries by Natural Miang Extracts
มธุรส ชัยหาญ1 วชิระ ชุ่มมงคล2 เพิ่มศักดิ์ สุภาพรเหมินทร์3 ธนากร ลัทธิ์ถีระสุวรรณ4 และธีระพล แสนพันธุ์5
1 หลักสูตรเทคโนโลยีชีวภาพ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เชียงใหม่ 50290
2 หลักสูตรเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เชียงใหม่ 50290
3 คณะผลิตกรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เชียงใหม่ 50290
4 หลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต (การจัดการป่าไม้) มหาวิทยาลัยแม่โจ้-แพร่ เฉลิมพระเกียรติ แพร่ 54140
5 สาขาวิศวกรรมอาหาร คณะวิศวกรรมและอุตสาหกรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เชียงใหม่ 50290
*Corresponding author: E-mail: mathurot@mju.ac.th
บทคัดย่อ
แบคทีเรีย Streptococcus mutans เป็นสาเหตุหนึ่งของโรคฟันผุซึ่งพบได้บ่อยในประเทศกำลังพัฒนา งานวิจัยนี้จึงมุ่นเน้นหาสารที่มีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียสาเหตุฟันผุโดยใช้สารสกัดใบเมี่ยงในตัวทำละลายเอทานอลมาศึกษาฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย S. mutans สายพันธุ์ DMST18777 และ Lactobacillus spp. สารสกัดหยาบใบเมี่ยงจังหวัดแม่ฮ่องสอน แสดงโซนใสการยับยั้งได้ดีที่สุด เท่ากับ 14.50 ± 0.70 และ 21.30 ± 0.60 มิลลิเมตร ตามลำดับ รองลงมา คือ สารสกัดหยาบใบเมี่ยงจังหวัดพะเยา แสดงโซนใสการยับยั้งเท่ากับ 12.30 ± 0.50 และ 18.00 ± 0.50 มิลลิเมตร ตามลำดับ การศึกษาเบื้องต้นโดยวิธี disc diffusion พบว่า S. mutans และ Lactobacillus spp.ไวต่อสารสกัดเอทานอล ผลการวิเคราะห์ระดับฟีนอลิกรวมและฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ พบว่าใบเมี่ยงมีค่าเฉลี่ยปริมาณฟีนอลิกรวม เท่ากับ 17.54 มิลลิกรัม แกลลิค/กรัม ตัวอย่างและฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของใบเมี่ยง มีค่าเฉลี่ย 14.03 ไมโครโมล
คำสำคัญ ใบเมี่ยง, สารฟีนอลิก, ฟลาโวนอยด์, ฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย, ฤทธิ์ต้านออกซิเดชัน
Abstract
Streptococcus mutans is one of important causes for tooth decay. The ethnomedicine uses Miang leaves for decrease in stomachache, increase in appetite, and decrease toothache. Streptococcus mutans is the main pathogen responsible for the development of dental caries in humans, especially in developing countries. There is a global need for alternative preventions and products for dental caries that are safe, economical and effective. Camellia sinensis var. assamica extracted showed strong antibacterial activity. The aims of this research were isolation and antibacterial activity evaluation of chemical compounds from dry Miang leaves. The crude ethanolic extract was partitioned with 95 % ethanol. The chemical substances were evaluated in antibacterial activities for S. mutans DMST 18777 and Lactobacillus sp. It was found that crude extracts from Maehongson province gave the higher inhibition activity to S. mutans DMST 18777 and Lactobacillus spp. with inhibition zone of 14.50 ± 0.70 and 21.30 ± 0.60 mm, respectively followed by the crude extracts from Phayao province. Crude extracts from Phayao province showed activity against S. mutans DMST 18777 and Lactobacillus spp. with inhibition zone of 12.30 ± 0.50 and 18.00 ± 0.50 mm, respectively. Preliminary screening for antibacterial activity of the extracts was performed by paper disc diffusion method. The diameter of inhibition zones indicated that 80 % of S. mutans were susceptible to ethanol extracts. The results from the study of antioxidant shows that Miang leave has an average phenolic content of 17.54 mg GAE/g sample and the extracts have highest antioxidant average of 14.03 micromol. These results suggest that the extract of Camellia sinensis var. assamica might be useful for the control of bacteria causing dental caries and subsequent dental caries development.
Keywords : Miang, Phenolic, Flavonoid, Antibacterial, Antioxidation
|
คำสำคัญ :
ใบเมี่ยง, สารประกอบฟีนอลิก, ฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย, กิจกรรมการต้านอนุมูลอิสระ
|
กลุ่มบทความ :
บทความการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทั่วไป
|
หมวดหมู่ :
วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี
|
สถิติการเข้าถึง :
เปิดอ่าน
849
ครั้ง | แสดงความคิดเห็น
0
ครั้ง
|
ผู้เขียน
มธุรส ชัยหาญ
วันที่เขียน
18/4/2566 11:18:39
แก้ไขล่าสุดเมื่อ
31/3/2568 13:07:22
|
|
|