|
|
|
|
|
การบริหารบนความหลากหลาย (Diversity and Inclusion Management)
»
การบริหารบนความหลากหลาย
|
การบริหารบนความหลากหลายเป็นการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความหลากหลายที่มีอยู่ในสังคมปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นความหลากหลายในเรื่องของ เพศ อายุ อาชีพ วัฒนธรรม ความเชื่อ เชื้อชาติ หรือสภาพร่างกาย เป็นต้น ซึ่งในการดำรงชีวิตของคนเราต้องเจอความแตกต่างนั้น ๆ อยู่ตลอดเวลา โดยเน้นการทำความเข้าใจถึงความหลากหลายของผู้คนในสังคม ในองค์กร เพื่อให้สามารถปฏิบัติต่อกันและอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข สังคมพหุวัฒนธรรม เป็นการผสมผสานทางชาติพันธุ์ ศาสนา และวัฒนธรรมที่หลากหลาย โดยอาศัยอยู่ตามภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศ หลายครั้งบุคคลที่เป็นส่วนน้อยมักถูกเลือกปฏิบัติทางสังคมและถูกจำกัดสิทธิบางอย่างที่แตกต่างจากคนกลุ่มอื่น ทำให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยได้มีการปรับตัวเข้ากับสังคมพหุวัฒนธรรมและให้การเคารพสิทธิของแต่บุคคลเพิ่มมากขึ้น ทั้งในรูปแบบของกฎหมายและที่ไม่เป็นกฎหมาย เช่น การยอมรับ/เคารพด้านความแตกต่างทางเพศ ความแตกต่างด้านร่างกาย ความแตกต่างด้านศาสนา การเคารพสิทธิของมนุยชน ทำให้ลดปัญหาสังคมได้หลายด้าน เช่น การคุกคาม/การล่วงละเมิดทางเพศ การก่ออาชญากรรม/ความรุนแรงต่อบุคคลอื่น การกีดกันทางสายอาชีพเนื่องจากความต่างทางเพศหรือสภาพร่างกาย ปัญหาความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการ/ปัจจัยพื้นฐานทางสังคม
การจัดการกับความหลากหลายในสังคม ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 เป็นกฎหมายหลักที่ให้หลักประกันศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ขจัดการเลือกปฏิบัติ และมุ่งลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ซึ่งรัฐบาลมีนโยบายในรูปแบบของยุทธศาสตร์ชาติ แผนปฏิรูปประเทศ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และแผนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ในการขับเคลื่อนการจัดการกับความหลากหลายของสังคมไทย นอกจากนั้นแล้ว แต่ละองค์กร/หน่วยงานก็ต้องมีการจัดการกับความหลากหลายของบุคคลในองค์กรเพื่อสร้างความสมานฉันท์กลมเกลียวในองค์กร ที่จะทำให้คนในองค์กรนำความรู้และประสบการณ์มาใช้ในการทำงานให้มากที่สุด องค์กรก็จะสามารถบรรลุเป้าหมายขององค์กรได้เช่นเดียวกัน
|
คำสำคัญ :
|
กลุ่มบทความ :
บทความการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทั่วไป
|
หมวดหมู่ :
สังคม ครอบครัว ชุมชน เศรษฐกิจ
|
สถิติการเข้าถึง :
เปิดอ่าน
100
ครั้ง | แสดงความคิดเห็น
0
ครั้ง
|
ผู้เขียน
แววตา ติ๊บมา
วันที่เขียน
22/1/2567 15:38:38
แก้ไขล่าสุดเมื่อ
18/3/2567 4:24:59
|
|
|
|
|
|
|
อ. มธุรส ชัยหาญ
»
การเข้าร่วมประชุมและนำเสนอผลงานภาคบรรยายในการประชุมวิชาการเครือข่ายวิจัยนิเวศวิทยาป่าไม้ ครั้งที่ 12 (Thai Forest Ecological Research Network Conference, T-FERN # 12) หัวข้อเรื่อง “ธรรมชาติ ป่าไม้ และที่ดิน: การปรับตัวและการบรรเทาต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” เมื่อวันที่ 9-10 กุมภาพันธุ์ 2566
|
คุณสมบัติในการต้านออกซิเดชันและการยับยั้งแบคทีเรียสาเหตุฟันผุของสารสกัดใบเมี่ยงธรรมชาติ
Characteristics of Antioxidation and Antibacterial of Dental Caries by Natural Miang Extracts
มธุรส ชัยหาญ1 วชิระ ชุ่มมงคล2 เพิ่มศักดิ์ สุภาพรเหมินทร์3 ธนากร ลัทธิ์ถีระสุวรรณ4 และธีระพล แสนพันธุ์5
1 หลักสูตรเทคโนโลยีชีวภาพ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เชียงใหม่ 50290
2 หลักสูตรเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เชียงใหม่ 50290
3 คณะผลิตกรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เชียงใหม่ 50290
4 หลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต (การจัดการป่าไม้) มหาวิทยาลัยแม่โจ้-แพร่ เฉลิมพระเกียรติ แพร่ 54140
5 สาขาวิศวกรรมอาหาร คณะวิศวกรรมและอุตสาหกรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เชียงใหม่ 50290
*Corresponding author: E-mail: mathurot@mju.ac.th
บทคัดย่อ
แบคทีเรีย Streptococcus mutans เป็นสาเหตุหนึ่งของโรคฟันผุซึ่งพบได้บ่อยในประเทศกำลังพัฒนา งานวิจัยนี้จึงมุ่นเน้นหาสารที่มีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียสาเหตุฟันผุโดยใช้สารสกัดใบเมี่ยงในตัวทำละลายเอทานอลมาศึกษาฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย S. mutans สายพันธุ์ DMST18777 และ Lactobacillus spp. สารสกัดหยาบใบเมี่ยงจังหวัดแม่ฮ่องสอน แสดงโซนใสการยับยั้งได้ดีที่สุด เท่ากับ 14.50 ± 0.70 และ 21.30 ± 0.60 มิลลิเมตร ตามลำดับ รองลงมา คือ สารสกัดหยาบใบเมี่ยงจังหวัดพะเยา แสดงโซนใสการยับยั้งเท่ากับ 12.30 ± 0.50 และ 18.00 ± 0.50 มิลลิเมตร ตามลำดับ การศึกษาเบื้องต้นโดยวิธี disc diffusion พบว่า S. mutans และ Lactobacillus spp.ไวต่อสารสกัดเอทานอล ผลการวิเคราะห์ระดับฟีนอลิกรวมและฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ พบว่าใบเมี่ยงมีค่าเฉลี่ยปริมาณฟีนอลิกรวม เท่ากับ 17.54 มิลลิกรัม แกลลิค/กรัม ตัวอย่างและฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของใบเมี่ยง มีค่าเฉลี่ย 14.03 ไมโครโมล
คำสำคัญ ใบเมี่ยง, สารฟีนอลิก, ฟลาโวนอยด์, ฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย, ฤทธิ์ต้านออกซิเดชัน
Abstract
Streptococcus mutans is one of important causes for tooth decay. The ethnomedicine uses Miang leaves for decrease in stomachache, increase in appetite, and decrease toothache. Streptococcus mutans is the main pathogen responsible for the development of dental caries in humans, especially in developing countries. There is a global need for alternative preventions and products for dental caries that are safe, economical and effective. Camellia sinensis var. assamica extracted showed strong antibacterial activity. The aims of this research were isolation and antibacterial activity evaluation of chemical compounds from dry Miang leaves. The crude ethanolic extract was partitioned with 95 % ethanol. The chemical substances were evaluated in antibacterial activities for S. mutans DMST 18777 and Lactobacillus sp. It was found that crude extracts from Maehongson province gave the higher inhibition activity to S. mutans DMST 18777 and Lactobacillus spp. with inhibition zone of 14.50 ± 0.70 and 21.30 ± 0.60 mm, respectively followed by the crude extracts from Phayao province. Crude extracts from Phayao province showed activity against S. mutans DMST 18777 and Lactobacillus spp. with inhibition zone of 12.30 ± 0.50 and 18.00 ± 0.50 mm, respectively. Preliminary screening for antibacterial activity of the extracts was performed by paper disc diffusion method. The diameter of inhibition zones indicated that 80 % of S. mutans were susceptible to ethanol extracts. The results from the study of antioxidant shows that Miang leave has an average phenolic content of 17.54 mg GAE/g sample and the extracts have highest antioxidant average of 14.03 micromol. These results suggest that the extract of Camellia sinensis var. assamica might be useful for the control of bacteria causing dental caries and subsequent dental caries development.
Keywords : Miang, Phenolic, Flavonoid, Antibacterial, Antioxidation
|
คำสำคัญ :
ใบเมี่ยง, สารประกอบฟีนอลิก, ฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย, กิจกรรมการต้านอนุมูลอิสระ
|
กลุ่มบทความ :
บทความการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทั่วไป
|
หมวดหมู่ :
วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี
|
สถิติการเข้าถึง :
เปิดอ่าน
366
ครั้ง | แสดงความคิดเห็น
0
ครั้ง
|
ผู้เขียน
มธุรส ชัยหาญ
วันที่เขียน
18/4/2566 11:18:39
แก้ไขล่าสุดเมื่อ
18/3/2567 20:28:14
|
|
|
|
|
|
ความรู้จากการเข้าร่วมอบรม/สัมมนา/ประชุมวิชาการ
»
การเผยแพร่ความรู้ที่ได้จากการเข้าร่วมประชุมวิชาการระดับชาติวิจัยรำไพพรรณี ครั้งที่ 16 เนื่องในวโรกาสคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ครบ 118 ปี เรื่อง “50 ปีมหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี การวิจัยเพื่อการพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่น”
|
ตามที่คณะวิทยาศาสตร์ ได้อนุญาติให้ข้าพเจ้าเข้าร่วมการประชุมวิชาการระดับชาติวิจัยรำไพพรรณี ครั้งที่ 16 เนื่องในวโรกาสคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ครบ 118 ปี เรื่อง “50 ปีมหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี การวิจัยเพื่อการพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่น” เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2566 ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ (อาคาร 35) มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี จังหวัดจันทบุรี (ในรูปแบบออนไลน์) นั้น
บัดนี้ ข้าพเจ้าได้เข้าร่วมการประชุมวิชาการระดับชาติวิจัยรำไพพรรณี ครั้งที่ 16 เนื่องในวโรกาสคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ครบ 118 ปี เรื่อง “50 ปีมหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี การวิจัยเพื่อการพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่น” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น จึงขอรายงานสรุปเนื้อหาและประโยชน์ที่ได้รับ ดังนี้
1. สรุปเนื้อหาที่ได้รับจากการเข้าประชุม/อบรม ฯลฯ
1.1 เข้ารับฟังการบรรยายพิเศษ เรื่อง “การวิจัยเพื่อการพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่สากล” โดย ศาสตราจารย์ ดร. พีระพงศ์ ทีฑสกุล ประธานอนุกรรมการด้านการพลิกโฉมมหาวิทยาลัย กกอ. และคณะอนุกรรมการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
1.2 เข้ารับฟังการบรรยาย เรื่อง “ฤทธิ์ต้านแบคทีเรียก่อโรคบางชนิดของสารสกัดหยาบเอทานอล จากเหง้ากระเจียว” โดย คุณอุมาพร ทาไธสง ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยบูรพา โดยงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของสารสกัดหยาบเอทานอลจากเหง้ากระเจียวในการยับยั้งแบคทีเรียก่อโรค 5 ชนิดได้แก่ Bacillus subtilis TISTR 6633, Listeria monocytogenes DMST 17303, Salmonella Enteritidis ATCC 13076, Pseudomonas aeruginosa ATCC 27853 และ Proteus mirabilis ผลการทดสอบด้วยวิธี disc diffusion พบว่า สารสกัดหยาบเอทานอลจากเหง้ากระเจียวสามารถยับยั้งการเจริญของ B. subtilis TISTR 6633 และ L. monocytogenes DMST 17303 แต่ไม่สามารถยับยั้งการเจริญของ S. Enteritidis ATCC 13076, P. aeruginosa ATCC 27853 และ P. mirabilis เมื่อทําการหาค่าความเข้มข้นต่ำสุดที่สามารถยับยั้งการเจริญของเชื้อ (minimal inhibitory concentration, MIC) ด้วยวิธีการ agar dilution พบว่า ค่า MIC ของสารสกัดหยาบเอทานอลจากเหง้ากระเจียวต่อ B. subtilis TISTR 6633 และ L. monocytogenes DMST 17303 เท่ากับ 1,250 และ 312.5 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร ตามลําดับ ในขณะที่ S. Enteritidis ATCC 13076, P. aeruginosa ATCC 27853 และ P. mirabilis มีค่า MIC >5,000 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร
1.3 เข้ารับฟังการบรรยาย เรื่อง “การพัฒนาสารอาหารทดแทนที่เหมาะสมเพื่อการผลิตเอทานอล” โดย คุณกรองจันทร์ รัตนประดิษฐ์ สาขาเทคโนโลยีชีวภาพ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา งานวิจัยนี้ได้ทำการศึกษาโดยการนําแป้งไฮโดรไลเซตซึ่งได้จากการย่อยแป้งมันสําปะหลังด้วยเอนไซม์ มาทดแทนการใช้กากน้ำตาลเพื่อลดต้นทุนการผลิตเอทานอล โดยหาอัตราส่วนที่เหมาะสมระหว่างกากน้ำตาลต่อแป้งไฮโดรไลเซตในการเลี้ยงยีสต์ Saccharomyces cerevisiae M1 ในสูตรอาหารที่มีอัตราส่วนของกากน้ำตาลต่อแป้งไฮโดรไลเซต 90:10, 70:30, 50:50 และ 100:0 (ชุดควบคุม) ตามลําดับ พบว่าการใช้อัตราส่วน 50:50 ให้ผลผลิตเอทานอลสูงสุดคิดเป็นร้อยละ 10.22 โดยปริมาตรต่อปริมาตร
1.4 เข้ารับฟังการบรรยาย เรื่อง “ผลของแสง LEDs ต่อการเจริญเติบโตและสารออกฤทธิ์กล้วยไม้เหลืองจันทบูร” โดย คุณพรพรรณ สุขุมพินิจ คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏรําไพพรรณี โดยได้ทำการศึกษาการเลี้ยงกล้วยไม้หวายจันทบูรภายใต้แสงที่แตกต่างกัน คือ แสงฟลูออเรสเซนต์สีขาว, แสงสีส้ม (LEDs อัตราส่วน Warm white 165 ดวง : Red 60 ดวง), แสงสีม่วง (LEDs อัตราส่วน Red 165 ดวง : Blue 60 ดวง) และแสงสีชมพู (LEDs อัตราส่วน Red 77 ดวง : Blue 44 ดวง : Orange 77 ดวง : White 24 ดวง) เป็นระยะเวลา 4 เดือน พบว่า การเจริญเติบโตทางด้านความสูง และจํานวนใบไม่แตกต่างกันทางสถิติ (p0.05) แสงสีส้มมีแนวโน้มส่งผลให้มีความสูงและขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของลําลูกกล้วยเฉลี่ยมากที่สุด (20.89 และ 0.74 เซนติเมตร ตามลําดับ) และแสงสีขาวมีแนวโน้มมีจํานวนใบมากที่สุด ผลการวิเคราะห์คุณสมบัติของสารสกัดกล้วยไม้ พบว่าปริมาณฟีนอลิกรวมของสารสกัดกล้วยไม้ที่เลี้ยงด้วยแสงสีขาวมีปริมาณมากที่สุดแต่ไม่แตกต่างจากสารสกัดที่เลี้ยงด้วยแสงสีส้ม เช่นเดียวกับปริมาณฟลาโวนอยด์รวมที่สารสกัดแสงสีขาวมีปริมาณใกล้เคียงกับสารสกัดกล้วยไม้ที่เลี้ยงด้วยแสงสีส้มและสีม่วง ส่วนฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระ พบว่าสารสกัดกล้วยไม้ที่เลี้ยงด้วยแสงสีส้มและสีม่วงให้ผลดีที่สุด จากผล การทดลองแสดงถึงแนวโน้มที่ดีในการเลี้ยงกล้วยไม้ภายใต้แสง LEDs เพื่อลดเวลาในการปลูก และสามารถควบคุมปริมาณ สารออกฤทธิ์ที่ต้องการได้เมื่อเทียบกับการปลูกในธรรมชาติ
1.5 เข้ารับฟังการบรรยาย เรื่อง “ผลของความเค็มที่มีต่อการบริโภคออกซิเจนของลูกกุ้งขาวแวนนาไม ระยะโพสต์ลาวา” โดย คุณนงนุช ตั้งเกริกโอฬาร ภาควิชาวาริชศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาบูรพา ได้ศึกษาอัตราการบริโภคออกซิเจนของลูกกุ้งขาวแวนนาไม ระยะโพสต์ลาวา (postlarva) ที่ระดับความเค็ม 0, 5, 10, 15, 20, 25, 30 และ 35 ส่วนในพันส่วน ที่อุณหภูมิ 27 องศาเซลเซียส ลูกกุ้งที่ใช้ในการทดลองมีความยาวเฉลี่ย 0.830.20 เซนติเมตร และน้ำหนักเฉลี่ย 0.0131±0.0056 กรัม จากการศึกษาพบว่า อัตราการบริโภคออกซิเจน ต่อน้ำหนักของลูกกุ้ง 1 กรัม ที่ระดับความเค็ม 0, 5, 10, 15, 20 และ 25 ส่วนในพันส่วน มีค่าเท่ากับ 9.12, 11.59, 11.85, 9.76, 10.86 และ 9.68 µmol/h ตามลําดับ ซึ่งมีค่าต่ำกว่า อัตราการบริโภคออกซิเจนที่ระดับความเค็ม 30 และ 35 ส่วนในพันส่วน ซึ่งมีค่าเท่ากับ 14.46 และ 17.41 µmol/h ตามลําดับ เมื่อทําการทดสอบความแตกต่างทางสถิติ พบว่า อัตราการบริโภคออกซิเจนที่ระดับความเค็ม 0, 15, 20 และ 25 ส่วนในพันส่วน ไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ แต่มีค่าต่ำกว่าของอัตราการบริโภคออกซิเจนที่ระดับความเค็ม 5, 10, 30 และ 35 ส่วนในพันส่วน อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ (p < 0.05)
1.6 เข้ารับฟังการบรรยาย เรื่อง “การใช้พรมมิ (Bacopa monnieri) ในอาหารปลาต่อการต้านเชื้อ Aeromonas sp. ในปลาหางนกยูง” โดย คุณสราวุธ แสงสว่างโชติ คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏรําไพพรรณี โดยได้ทำการศึกษาพืชน้ำในประเทศไทยสกุลพรมมิ (Bacopa monnieri) เพื่อใช้ในการเพิ่มภูมิต้านทานให้กับปลาหางนกยูง ด้วยการสกัดพรมมิอบแห้งโดยใช้เอธานอล แล้วนําสารที่ได้มาเคลือบอาหารเม็ด ที่ความเข้มข้น 0, 250, 500, 750 และ 1,000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมอาหาร เปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้ใช้พรมมิ ให้ปลากินอาหารเป็นเวลา 4 สัปดาห์ แล้วนํามาทดสอบทําให้ติดเชื้อกับแบคทีเรียแกรมลบ Aeromonas sp. ศึกษาอัตรา การรอดตาย พบว่าปลาหางนกยูงที่ได้รับอาหารผสมสารสกัดจากพรมมิสามารถต้านทานเชื้อแบคทีเรียได้ดีกว่าชุดการทดลองควบคุม โดยชุดการทดลองที่ให้ผลดีที่สุด คือ ชุดการทดลองที่ผสมสารสกัดพรมมิ 1,000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมอาหาร
2. ประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานในตำแหน่งหน้าที่
2.1 ได้รับความรู้และประสบการณ์จากการเข้าร่วมการประชุมวิชาการฯ
2.2 ได้รับความรู้เกี่ยวกับงานวิจัยในด้านต่างๆเพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในด้านการเรียน การสอน และการทำงานวิจัย
2.3 เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในผลงานการวิจัยระหว่างบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาต่าง ๆ
3. ประโยชน์ต่อหน่วยงาน (ระดับงาน/หลักสูตร/คณะ)
จากการเข้าร่วมประชุมวิชาการ และฟังการบรรยายในหัวข้อเรื่องต่าง ๆ ซึ่งเป็นผลงานวิจัยใหม่ๆ ของนักวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญ ความรู้ที่ได้จากการฟังบรรยาย ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อหลักสูตรและคณะ และนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ทั้งในด้านการเรียนการสอน โดยได้นำความรู้ที่ได้จากการฟังบรรยายดังกล่าวมาประยุกต์และถ่ายทอดให้แก่นักศึกษาและผู้ร่วมงาน ใช้ในการเรียนการสอนและงานวิจัย นอกจากนั้นยังได้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และความรู้ต่างๆ กับนักวิจัยที่เชี่ยวชาญ ซึ่งทำให้เกิดประโยชน์ต่อหลักสูตรและคณะเป็นอย่างยิ่งโดยจะช่วยทำให้การปฏิบัติงานได้อย่างมีคุณภาพและมีประสิทธิภาพต่อไป
|
คำสำคัญ :
|
กลุ่มบทความ :
บทความการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทั่วไป
|
หมวดหมู่ :
วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี
|
สถิติการเข้าถึง :
เปิดอ่าน
386
ครั้ง | แสดงความคิดเห็น
0
ครั้ง
|
ผู้เขียน
อัจฉรา แกล้วกล้า
วันที่เขียน
26/3/2566 10:48:54
แก้ไขล่าสุดเมื่อ
18/3/2567 20:29:30
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
การศึกษาและรวบรวมการใช้พันธุ์ไม้ ประดับลายหม้อปูรณฆฏะในศิลปกรรมล้านนา
»
การศึกษาและรวบรวมการใช้พันธุ์ไม้ ประดับลายหม้อปูรณฆฏะในศิลปกรรมล้านนา
|
การศึกษาและรวบรวมการใช้พันธุ์ไม้ ประดับลายหม้อปูรณฆฏะในศิลปกรรมล้านนา เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ ภายใต้โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช อันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อสนองพระราชดำริภายใต้โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช อันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี รมถึงรวบรวมรูปแบบลายหม้อปูรณฆฏะ ที่ปรากฏในงานศิลปกรรมล้านนาและนำองค์ความรู้ดังกล่าวไปเผยแพร่ในลักษณะของสื่อสิ่งพิมพ์ โดยใช้วิธีการเขียนอธิบายความพรรณนาและบันทึกภาพถ่าย ใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการลงพื้นที่ภาคสนามเข้าเก็บข้อมูลในพื้นที่ ซึ่งเป็นการวิจัยในลักษณะที่มุ่งเก็บรวมรวมรูปแบบลวดลายปูรณฆฏะในศิลปกรรม 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน ซึ่งผลของการศึกษาสามารถนำองค์ความรู้ดังกล่าวไปพัฒนาในรูปแบบเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยใช้วัฒนธรรมล้านนาเป็นทุนทางวัฒนธรรม
ผลการศึกษาการรวบรวมการใช้พันธุ์ไม้ ประดับลายหม้อปูรณฆฏะในศิลปกรรมล้านนา พบว่าในวัฒนธรรมของล้านนามีการใช้พันธุ์ไม้ตามธรรมชาติ มาออกแบบจนเกิดเป็นลวดลายประดับในงานศิลปะที่รับใช้ศาสนา ว่าด้วยลวดลายของเครื่องสักการระบูชา หนึ่งในลวดลายดังกล่าวปรากฏในรูปของ หม้อปูรณฆฏะ หรือในพื้นที่เรียกว่า ลายหม้อดอก ซึ่งปรากฏในงานศิลปกรรมล้านนาโดยการนำเอารูปแบบพันธุ์พฤกษาดอกไม้ต่างๆ มาออกแบบเป็นงานช่างศิลป์ ทั้งงานจิตรกรรม งานประติมากรรม งานภาพพิมพ์ นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นถึงประวัติความเป็นมา การเกิดขึ้นของลวดลายในแต่ละพื้นที่ ถึงรูปแบบที่มีพัฒนาการและปรับใช้ในยุคสมัยที่ต่างกัน โดยการเก็บรวบรวมลายหม้อดอกปูรณฆฏะ จำนวน 184 วัดกับ 6 แหล่งมรดกวัฒนธรรม ปรากฏลวดลายหม้อดอกกว่า483 ลาย สู่การทำความเข้าใจรูปแบบลายและความหมายในพื้นที่ผ่านการประดับลายในตำแหน่งต่างๆ ในเขตพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน ซึ่งได้แก่จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดลำพูน จังหวัดลำปาง จังหวัดแพร่ จังหวัดน่าน จังหวัดเชียงราย จังหวัดพะเยา และจังหวัดแม่ฮ่องสอน
นอกจากนี้จากการลงพื้นที่พบเทคนิคการสร้างงาน 3 อันดับแรกคือ งานลายคำมากที่สุด รองลงมาเป็นงานปูนปั้น และงานไม้แกะสลักตามลำดับ นอกจากเทคนิคงานช่างแล้ว จากการลงพื้นที่พบลวดลายหม้อดอกมากที่สุดในจังหวัด 3 อันดับแรกคือ จังหวัดลำปาง รองลงมาเป็นจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดแพร่ ตามลำดับ และลวดลายหม้อดอกถูกสร้างขึ้นมาในการเป็นสัญลักษณ์ของการบูชาพระธรรมมากที่สุด โดยปรากฏบนหีบธรรม ธรรมมาสน์ และหอธรรม
ส่วนการใช้พันธุ์ไม้ประดับลายหม้อปูรณฆฏะในศิลปกรรมล้านนา พบว่าในช่วงพุทธศตวรรษที่ 20-21 ยังปรากฏรูปแบบของหม้อปูรณฆฏะที่มีดอกบัวโผล่ออกมาจากปากหม้อเป็นส่วนใหญ่ จนถึงในช่วงพุทธศตวรรษที่ 22-23 ลายหม้อปูรณฆฏะเริ่มเป็นลวดลายกระหนก ซึ่งไม่สามารถระบุการใช้พันธุ์ไม้ในการประดับได้ จนถึงช่วงพุทธศตวรรษที่ 24 หม้อปูรณฆฏะที่มีดอกบัวโผล่ออกมาจากปากหม้อเริ่มกลับมามีความนิยมอีกครั้ง และครั้งนี้เริ่มมีช่อดอกเอื้องประดับย้อยออกมาทั้งสองข้างของปากหม้อ ซึ่งพบลายในลักษณะนี้เฉพาะในพื้นที่จังหวัดลำปางเท่านั้น และในช่วงสุดท้ายพุทธศตวรรษที่ 25ลายหม้อปูรณฆฏะเริ่มเป็นลวดลายกระหนกอีกครั้ง โดยมีรูปแบบของลวดลายประดิษฐ์เข้ามาผสมผสาน เช่นลายดอกพุดตาน ลายหน้ากาล ลายกระจังตาอ้อย ซึ่งเป็นลายที่ได้รับอิทธิพลจากรัตนโกสินทร์เป็นส่วนใหญ่ รวมถึงอิทธิพลจากพม่า จีน และชาติตะวันตกด้วย
จากการศึกษาการใช้พันธุ์ไม้ ประดับลายหม้อปูรณฆฏะในศิลปกรรมล้านนา ถือเป็นการรวบรวมข้อมูลซึ่งองค์ความรู้เหล่านี้ ถือเป็นงานศิลปะที่เกิดขึ้นจากการผูกพันกับธรรมชาติในสังคมล้านนา โดยนำเสนอผ่านมุมมองของความงามและสุนทรียะ เทคนิคงานช่างที่ใช้ใการสร้างสรรค์งาน ความนิยมในแต่ละพื้นที่ ทำให้เข้าใจการเชื่อมโยงและเห็นถึงที่มาของการใช้ลวดลายหม้อดอกสมบูรณ์มากขึ้น ซึ่งงานศึกษาชิ้นนี้จะเป็นประโยชน์และสร้างองค์ความรู้ใหม่ ว่าด้วยเรื่องหม้อปูรณฆฏะในศิลปกรรมล้านนา ให้ผู้สนใจมองเห็นและเข้าใจความงาม และสามารถนำรูปแบบลวดลายที่ได้เก็บรวบรวมไว้นี้ ไปพัฒนาและปรับใช้ในอนาคตต่อไป
|
คำสำคัญ :
หม้อปูรณฆฏะ, หม้อดอก, ศิลปกรรมล้านนา
|
กลุ่มบทความ :
บทความการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทั่วไป
|
หมวดหมู่ :
ดนตรี ศิลปะ วรรณกรรม บันเทิง
|
สถิติการเข้าถึง :
เปิดอ่าน
1033
ครั้ง | แสดงความคิดเห็น
0
ครั้ง
|
ผู้เขียน
ฐาปกรณ์ เครือระยา
วันที่เขียน
25/8/2565 10:00:21
แก้ไขล่าสุดเมื่อ
19/3/2567 0:15:07
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|