|
|
|
|
|
|
|
งานวิจัยปวีณา
»
รายงานสรุปเนื้อหาและการนำไปใช้ประโยชน์จากการเข้าประชุมวิชาการ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ประจำปี 2566
|
จากการได้เข้าร่วมประชุมวิชาการระดับชาติ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ประจำปี 2566 เรื่อง นวัตกรรมเกษตรอาหาร และสุขภาพ ระหว่างวันที่ 21-22 ธันวาคม 2566 ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา มหาวิทยาลัยแม่โจ้ นั้น ทำให้ได้รับประโยชน์ดังนี้
(1) รับทราบและเพิ่มพูนองค์ความรู้ด้านการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้านการเกษตร อาหาร สุขภาพ และสิ่งแวดล้อม ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ทางวิชาการ จากการเผยแพร่ผลงานวิจัย งานสร้างสรรค์และนวัตกรรม ในรูปแบบของการเสวนาวิชาการ และการนำเสนอบทความ ซึ่งการเข้าร่วมประชุมครั้งนี้สอดคล้องกับผลลัพธ์การเรียนรู้ (PLOs) ในเรื่องของการมีทักษะการปฏิบัติงาน และทักษะการแก้ไขปัญหาด้านเทคโนโลยีชีวภาพทางการเกษตร รวมถึงสาขาที่เกี่ยวข้อง
(2) ประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานในตำแหน่งหน้าที่ ได้เรียนรู้กระบวนการทักษะการทำงานวิจัย เรียนรู้ทักษะการปฏิบัติงาน และทักษะการแก้ไขปัญหาด้านเทคโนโลยีชีวภาพทางการเกษตร และมีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และประสบการณ์ทางวิชาการ ได้นำองค์ความรู้มาบูรณาการกับรายวิชา ชว 412 หลักการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช ชว 413 สรีรวิทยาประยุกต์ของการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช และ 20302200 หัวข้อสนใจทางเทคโนโลยีชีวภาพ
(3) ประโยชน์ต่อหน่วยงาน (ระดับงาน/หลักสูตร/คณะ) มีความร่วมมือทางวิชาการ และการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการของหน่วยงาน
|
คำสำคัญ :
|
กลุ่มบทความ :
กลุ่มงานตามสมรรถนะบุคลากร
|
หมวดหมู่ :
กลุ่มงานสายวิชาการ
|
สถิติการเข้าถึง :
เปิดอ่าน
89
ครั้ง | แสดงความคิดเห็น
0
ครั้ง
|
ผู้เขียน
ปวีณา ภูมิสุทธาผล
วันที่เขียน
22/1/2567 14:49:36
แก้ไขล่าสุดเมื่อ
16/3/2567 4:26:29
|
|
|
สรุปและการนำไปใช้ประโยชน์การประชุมวิชาการระดับชาติมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ประจำปี 2566
»
สรุปและการนำไปใช้ประโยชน์การประชุมวิชาการระดับชาติมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ประจำปี 2566
|
ความก้าวหน้าทางด้านเกษตร วิจัย และนวัตกรรมทั่วไป ปรับปรุงพันธุ์ พันธุศาสตร์ ชีววิทยาและสิ่งแวดล้อมโดยสามารถสรุปเนื้อหาสำคัญต่างได้ดังนี้คือ
1.งานวิจัยเรื่องเครื่องหมายไมโครแซตเทลไลต์ที่แยกความแตกต่างระหว่างข้าวโฟเลตสูงและต่ำ เรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงพันธุ์ข้าวให้มีปริมาณโฟเลตสูงโดยการทดลองครั้งนี้มีการใช้เครื่องหมายดีเอ็นเอจำนวน 27 เครื่องหมาย พบว่า 5 เครื่องหมาย ได้แก่ RM3042 RM13473 RM18828 RM6082 และ RM2482 เครื่องหมายดีเอ็นเอเหล่านี้จะนำไปใช้ในการตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างเครื่องหมายดีเอ็นเอกับปริมาณโฟเลตในประชากร F 2 ต่อไปซึ่งศึกษาเครื่องหมายดีเอ็นเอชนิดไมโครแซตเทลไลต์ที่สามารถตรวจสอบความแตกต่างระหว่างข้าวที่มีปริมาณโฟเลตสูงจำนวน 2 พันธุ์ ได้แก่ ขี้ตมแดง และเจ้าเหลืองและข้าวที่มีโฟเลตต่ำแต่คุณภาพการหุงต้มดีเป็นที่นิยมบริโภคจำนวน 4 พันธุ์ ได้แก่ กข 43 ไรซ์เบอรี่ ปทุมธานี 1และเจ้าก่ำหอมแม่โจ้ 1 เอแสดงความแตกต่างของขนาดแถบดีเอ็นเอระหว่างพันธุ์ข้าวที่มีปริมาณโฟเลตสูงและต่ำ
2.งานวิจัยเรื่อง การแก้ไขยีน Pi21 โดยระบบ CRISPR/Cas9 เพื่อให้ข้าวต้านทานโรคไหม้ (ณัฐพงและคณะ,2566)ศึกษาพบว่า ยีน Pi21 มี ผลควบคุมเชิงลบต่อความต้านทานโรคไหม้โดยเป็นที่สำคัญที่เกิดจากเชื้อราทำให้เกิดการสูญเสียผลผลิตของข้าวอย่างรุนแรงในทุกปี งานวิจัยนี้จึงศึกษาลำดับเบสของยีน Pi21/pi21 ที่เกี่ยวข้องกับความ ต้านทานโรคไหม้ และแก้ไขยีน Pi21 ด้วยระบบ CRISPR/Cas9 เพื่อให้ข้าวมีความต้านทานต่อโรคไหม้เพิ่มมากขึ้น โดยค้นหายีนPi21/pi21 ด้วยเทคนิคพีซีอาร์แล้ววิเคราะห์ลำดับเบส พบว่า ยีน Pi21 ในข้าว 3 พันธุ์ ได้แก่ หางยี 71 ขาวดอกมะลิ 105 และ Kasalath เป็น Haplotype C ที่จะพบในพันธุ์ข้าวอ่อนแอต่อโรคไหม้ ดังนั้นงานวิจัยนี้จึงได้ ออกแบบ sgRNA ของระบบ CRISPR/Cas9 มีตำแหน่งอยู่ที่เอกซอน 1 เพื่อให้เกิดการแก้ไขยีน Pi21 ที่จะกระทบต่อ บริเวณสำคัญของยีนทำให้ยีนไม่ทำงาน การถ่าย construct เข้าสู่ข้าวพันธุ์ Kasalath พบว่า มีประสิทธิภาพการถ่าย ยีนสูง และเมื่อนำต้นที่มีการแทรกของยีนระบบ CRISPR/Cas9 มาวิเคราะห์ลำดับเบสพบว่า มีการแก้ไขยีนแบบ biallelic หรือ heterozygous จึงจะนำเมล็ดข้าวรุ่น T1 ปลูกเพื่อวิเคราะห์รูปแบบการแก้ไขยีน Pi21 และทดสอบ ความต้านทานโรคไหม้ต่อไป
3.งานวิจัยเรื่อง ความหลากหลายทางพันธุกรรมของยีนที่เกี่ยวข้องกับการออกดอกในลำไยพันธุ์ต่าง ๆ จากการกระตุ้นด้วยสารโพแทสเซียมคลอเรตการศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาความหลากหลายทางพันธุกรรมของลำไยทั้งหมด 32 พันธุ์ โดยวิเคราะห์รูปแบบของชิ้นส่วนดีเอ็นเอที่ถูกเพิ่มจำนวนด้วยวิธีพีซีอาร์ โดยใช้คู่ไพรเมอร์ทั้งหมด 7 คู่ไพรเมอร์ที่ออกแบบมาจากลำดับนิวคลีโอไทด์ของชิ้นส่วนยีนที่แสดงออกแตกต่างกันระหว่างตัวอย่างลำไยที่ไม่ได้รับและได้รับสารโพแทสเซียมคลอเรตซึ่งมีความสามารถในการกระตุ้นการออกดอกของลำไย ผลการทดลองพบว่าไพรเมอร์จำนวน 7 คู่ไพรเมอร์ มีอุณหภูมิในขั้นตอน Annealing อยู่ระหว่าง 56 – 60 องศาเซลเซียส ซึ่งไพรเมอร์ชนิด “LcAF9” เป็นไพรเมอร์ที่ให้ผลการทดลองที่ดีที่สุด สามารถเพิ่มปริมาณชิ้นส่วนดีเอ็นเอได้อย่างจำเพาะ ปรากฎแถบดีเอ็นเอที่เห็นได้ชัดเจนและแสดงความแตกต่างทางพันธุกรรม ซึ่งมีลำไย 3 พันธุ์ ได้แก่ เบี้ยวเขียว แห้ว และเถา ปรากฏแถบของดีเอ็นเอมากกว่า 1 แถบ แตกต่างจากลำไยพันธุ์อื่น ๆ ที่ปรากฏแถบเพียงแถบเดียวเท่านั้น เปรียบเทียบกับฐานข้อมูล ซึ่งข้อมูลที่ได้จะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการศึกษากลไกการออกดอกของลำไย
4.เรื่องการเพิ่มมูลค่าวัสดุเหลือใช้ทางด้านการเกษตร ทำให้สามารถมีความรูความเข้าใจในกาสร้างมูลค่าผลิตภัณฑ์ว่าจะต้องมีการพัฒนาและต่อยอดอย่างไรบ้างจึงจะก่อให้เกิดความสำเร็จ
5.กลยุทธ์การปั้นธุรกิจการเกษตรเพื่อความยั่งยืน โดยทำให้ทราบว่าภาคธุรกิจได้ช่วยเหลือเกษตรกรโดยมีการรับซื้อใบอ้อยมูลค่าเกือบตนบาทต่อตัน ทำให้เกษตรกรลดการเผาใบอ้อยลงไปมาก่อให้เกิดผลดีในการลดภาวะต่างๆรวมทั้งลดโลกร้อนด้วย
สรุปฟังประชุมวิชาการด้านพันธุศาสตร์ทำให้สามารถเข้าใจถึงเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่มาช่วยทำให้การปรับปรุงพันธุ์พืชต่าง ๆสำเร็จได้รวดเร็วยิ่งขึ้นและการบรรยายพิเศษด้านการใช้วัสดุเหลือใช้มาสร้างมูลค่าเช่นการรับซื้อเศษวัสดุทางการเกษตรทำให้มีการลดการเผาวัสดุลงไปอย่างมาก
|
คำสำคัญ :
|
กลุ่มบทความ :
กลุ่มงานตามสมรรถนะบุคลากร
|
หมวดหมู่ :
กลุ่มงานสายวิชาการ
|
สถิติการเข้าถึง :
เปิดอ่าน
118
ครั้ง | แสดงความคิดเห็น
0
ครั้ง
|
ผู้เขียน
ทุเรียน ทาเจริญ
วันที่เขียน
11/1/2567 13:44:10
แก้ไขล่าสุดเมื่อ
15/3/2567 23:13:16
|
|
|
|
|
|
|
|
การประชุมวิชาการระดับชาติ ประจำปี 2566
»
การตั้งตำรับครีมบำรุงผิวกายที่มีน้ำมันหอมระเหยและสารสกัดจากดอกกุหลาบมอญ
|
กุหลาบมอญสุโขทัย (Damask rose) มีชื่อวิทยาศาสตร์คือ Rosa damascena เป็นดอกกุหลาบที่พบทั้งดอกสีชมพูอ่อนถึงเข้มและสีแดง นิยมนำมาสกัดเป็นน้ำมันกุหลาบเพื่อใช้ในการผลิตน้ำหอมและผลิตเป็นน้ำกุหลาบใช้ในการแต่งกลิ่นในอาหารและเครื่องดื่ม นอกจากนี้ กลีบดอกกุหลาบสามารถนำมาผลิตเป็นชาสุมนไพร ในงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสกัดน้ำมันหอมระเหยและสารสกัดจากดอกกุหลาบมอญสุโขทัยด้วยเทคนิคการสกัดโดยใช้คลื่นไมโครเวฟช่วย และศึกษาสมบัติทางกายภาพและเคมีของส่วนสกัดทั้งสองชนิด นอกจากนี้ ได้ตั้งตำรับครีมบำรุงผิวกายที่มีส่วนประกอบของน้ำมันหอมระเหยและสารสกัดจากดอกกุหลาบ และทดสอบความคงตัวของตำรับครีมบำรุงผิวกาย ผลการทดสอบพบว่าปริมาณร้อยละผลผลิตของน้ำมันหอมระเหยและสารสกัดเท่ากับ 0.12 และ 30.25 ตามลำดับ ปริมาณฟีนอลิกรวมของน้ำมันหอมระเหยกุหลาบและสารสกัดมีค่าเท่ากับ 212.23±2.4 และ 438.39±3.1 mg GAE/g extract ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ DPPH ของน้ำมันหอมระเหยกุหลาบและสารสกัดดอกกุหลาบที่ทดสอบพบว่ามีค่า IC50 เท่ากับ 6.98 และ 5.78 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร (g/mL) (IC50 ของโทรล็อกซ์เท่ากับ 4.67 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร) และปริมาณฟวาโวนอยด์รวมของน้ำมันหอมระเหยกุหลาบและสารสกัดดอกกุหลาบมีค่าเท่ากับ 100.22±1.3 และ 169.94±2.3 mg QE/g extract ตามลำดับ สารสกัดและน้ำมันหอมระเหยนำมาพัฒนาเป็นตำรับครีมบำรุงผิว พบว่าเนื้อครีมมีสีชมพูอ่อน กลิ่นดอกกุหลาบ มีค่ากรดด่างเท่ากับ 5.15-5.50 เนื้อครีมมีการกระจายตัวคงที่เมื่อทดสอบที่อุณหภูมิห้องและที่สภาวะเร่งเป็นเวลา 3 เดือน และมีความคงตัวไม่แยกชั้น
|
คำสำคัญ :
ดอกกุหลาบมอญสุโขทัย ดอกกุหลาบมอญสุโขทัย สารสกัดดอกกุหลาบ น้ำมันหอมระเหยดอกกุหลาบ
|
กลุ่มบทความ :
กลุ่มงานตามสมรรถนะบุคลากร
|
หมวดหมู่ :
กลุ่มงานสายวิชาการ
|
สถิติการเข้าถึง :
เปิดอ่าน
66
ครั้ง | แสดงความคิดเห็น
0
ครั้ง
|
ผู้เขียน
ฐิติพรรณ ฉิมสุข
วันที่เขียน
4/1/2567 15:00:14
แก้ไขล่าสุดเมื่อ
19/3/2567 12:37:42
|
|
|
การประชุมวิชาการระดับชาติ
»
งานประชุมวิชาการระดับชาติประจำปี 2566 เรื่อง นวัตกรรมเกษตรอาหาร และสุขภาพ
|
จากการได้เข้าร่วมประชุมวิชาการระดับชาติซึ่งการจัดการประชุมเพื่อส่งเสริมให้บุคลากรทางการศึกษา วิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้านการเกษตร อาหาร สุขภาพ และสิ่งแวดล้อม ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ทางวิชาการ รวมทั้งเผยแพร่ผลงานวิจัย งานสร้างสรรค์และนวัตกรรมสู่สาธารณะ ในรูปแบบของการเสวนาวิชาการ และการนำเสนอบทความ ซึ่งการเข้าร่วมประชุมครั้งนี้สอดคล้องกับผลลัพธ์การเรียนรู้ (PLOs) ในเรื่องของการมีทักษะการปฏิบัติงาน และทักษะการแก้ไขปัญหาด้านเทคโนโลยีชีวภาพทางการเกษตร รวมถึงสาขาที่เกี่ยวข้อง เพราะการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมเป็นกลไกสำคัญที่สนับสนุนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ โดยเฉพาะการสร้างความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการพัฒนาการเกษตรสร้างมูลค่าสู่ภาคอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ ทำให้เข้าใจถึงปัญหาซึ่งจะนำไปสู่แนวทางการวิจัยและแก้ไขปัญหาได้อย่างสัมฤทธิ์ผล และสามารถทำงานวิจัยเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อกันในการนำผลงานวิจัยต่อยอดขยายผลสร้างประโยชน์ต่อองค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการ และผู้สนใจทั่วไป อันจะส่งผลดีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอย่างแท้จริง
|
คำสำคัญ :
|
กลุ่มบทความ :
กลุ่มงานตามสมรรถนะบุคลากร
|
หมวดหมู่ :
กลุ่มงานช่วยวิชาการ
|
สถิติการเข้าถึง :
เปิดอ่าน
100
ครั้ง | แสดงความคิดเห็น
0
ครั้ง
|
ผู้เขียน
ภานรินทร์ ปรีชาวัฒนากร
วันที่เขียน
4/1/2567 14:54:51
แก้ไขล่าสุดเมื่อ
17/3/2567 4:42:53
|
|
|
|
|
|
รายงานสรุปเนื้อหาและการนำไปใช้ประโยชน์จากการเข้าอบรม สัมมนา หรือประชุมวิชาการ
»
การศึกษาที่เน้นผลลัพท์และการประเมินการเรียนรู้ระดับรายวิชา (CLOs)
|
การศึกษาที่เน้นผลลัพท์และการประเมินการเรียนรู้ระดับรายวิชา (CLOs)
ผลลัพท์การเรียนรู้ตามคุณวุฒิแต่ละระดับ จะต้องสอดคล้องกับอัตลักษณ์ของหลักสูตร สถาบัน วิชาชีพ และบริบทของประเทศ/โลก ซึ่งประกอบด้วยอย่างน้อย 4 ด้าน ได้แก่
1. ความรู้ (Knowledge) คือ สิ่งที่สั่งสมมาจากการเรียน การค้นคว้า หรือประสบการณ์ที่เกิดจากหลักสูตร ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นต่อการต่อยอดในด้านความรู้เพื่อประกอบอาชีพ ดำรงชีพ และการพัฒนาที่ยั่งยืน
2. ทักษะ (Skills) คือความสามารถที่เกิดจาการเรียนรู้ ปฏิบัติให้เกิดความคล่องแคล่ว ชำนาญเพื่อพัฒนาวิชาชีพหรือวิชาการ
3. จริยธรรม (Ethics) คือพฤติกรรมหรือการกระทำของบุคคลลที่สะท้อนถึงความเป็นผู้มีคุณธรรม ศีลธรรม และจรรยาบรรณ เพื่อประโยชน์ส่วนรวมและส่วนตน ทั้งต่อหน้าและลับหลังผู้อื่น
4. ลักษณะบุคคล (Character) คือบุคลิกภาพ ลักษณะนิสัย และค่านิยมที่สะท้อนคุณลักษณะเฉพาะศาสตร์ วิชาชีพ และสถาบัน โดยผ่านการเรียนรู้ และฝึกประสบการณ์จากหลักสูตรให้มีความเหมาะสมกับระดับคุณวุฒิ
-การเชื่อมโยง PLO สู่ CLO
อาจารย์ผู้สอนต้องเห็น PLO เป็นภาพเดียวกัน ซึ่งเป็นความสามารถที่สำคัญและจำเป็นที่ผู้เรียนต้องทำได้เมื่อสำเร็จการศึกษา แล้วกำหนด CLOs หรือวัตถุประสงค์ของรายวิชาที่สอดคล้องกับ PLO และในการกำหนด CLOs จะต้องนำไปสู่การวัดประเมินผู้เรียนได้ ตามหลัก Taxonomy Bloom’s หลังจากนั้นจัดกิจกรรมการเรียน แล้ววัดและประเมินผู้เรียน
- การเชื่อมโยง CLOs กับวิธีการจัดการเรียนการสอน และการประเมินในระดับรายวิชา โดยการพิจารณาในด้านต่าง ๆ ดังนี้ ด้านเนื้อหาสาระ ด้านวัตถุประสงค์ ด้านการประเมินผล และ ด้านการจัดการเรียนรู้
|
คำสำคัญ :
การเชื่อมโยง PLO สู่ CLO
|
กลุ่มบทความ :
กลุ่มงานตามสมรรถนะบุคลากร
|
หมวดหมู่ :
กลุ่มงานสายวิชาการ
|
สถิติการเข้าถึง :
เปิดอ่าน
86
ครั้ง | แสดงความคิดเห็น
0
ครั้ง
|
ผู้เขียน
เจนจิรา ทิพย์ชะ
วันที่เขียน
1/12/2566 10:50:50
แก้ไขล่าสุดเมื่อ
9/3/2567 5:42:42
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
การพัฒนาระบบสารสนเทศ
»
การเขียนบทความลงวารสารวารสารแม่โจ้เทคโนโลยีสารสนเทศและนวัตกรรม
|
บทความวิชาการมีบทบาทสำคัญในฐานะที่เป็นรูปแบบอันเป็นสากลในการเผยแพร่ความรู้ ความคิด และพัฒนาการที่ได้จากการศึกษา ค้นคว้า
วิจัย ในแง่มุมต่าง ๆ มหาวิทยาลัยแม่โจ้จึงได้จัดทำ “วารสารเทคโนโลยีสารสนเทศและนวัตกรรม” ขึ้นเพื่อส่งเสริมการผลิตและเผยแพร่บทความ
วิชาการโดยมีกำหนดการตีพิมพ์เป็นราย 4 เดือน หรือ กำหนดออกปีละ 3 ฉบับ ในเดือนมกราคม พฤษภาคม และเดือนกันยายน ของทุกปี
• ประเภทผลงานที่รับตีพิมพ์
- บทความปริทัศน์ (Review Article) ทั้งในรูปแบบของการเรียบเรียงผลงานวิจัยที่ผ่านมา และการเรียบเรียงสรุปความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
สารสนเทศในด้านใดด้านหนึ่ง หรือบทความแนะนำองค์ความรู้ในสาขาการวิจัยที่น่าสนใจ (Tutorial Article)
- บทความวิชาการ (Academic Article) ที่ให้ความรู้อันเป็นประโยชน์แก่นักวิชาชีพด้านเทคโนโลยีสารสนเทศหรือประชาชนทั่วไป
- บทความวิจัย (Research Article) ด้านนวัตกรรมการศึกษาและการจัดการเรียนการสอนในสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศและคอมพิวเตอร์
• ขอบเขตของบทความวิชาการ
- งานวิจัยและบทความทางวิชาการทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
- งานวิจัยและบทความในสาขาวิชาต่าง ๆ ที่นำเอาเทคโนโลยีสารสนเทศไปประยุกต์ใช้
- งานวิจัยและบทความด้านอื่น ๆ ในองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารทั่วประเทศ
Ref: https://mitij.mju.ac.th/JOURNAL/1.Promote_MITIJ.pdf
|
คำสำคัญ :
เทคโนโลยีสารสนเทศ บทความวิจัย วารสารเทคโนโลยีสารสนเทศและนวัตกรรม วิทยาการคอมพิวเตอร์
|
กลุ่มบทความ :
กลุ่มงานตามสมรรถนะบุคลากร
|
หมวดหมู่ :
กลุ่มงานเทคโนโลยีสารสนเทศ
|
สถิติการเข้าถึง :
เปิดอ่าน
200
ครั้ง | แสดงความคิดเห็น
0
ครั้ง
|
ผู้เขียน
สมนึก สินธุปวน
วันที่เขียน
28/9/2566 13:16:08
แก้ไขล่าสุดเมื่อ
19/3/2567 11:30:13
|
|
|
|