|
|
|
|
แลกเปลี่ยนเรียนรู้ จัดการองค์ความรู้ที่ได้จากการเข้าร่วมประชุม อบรม สัมมนา
»
เทคนิคการนำเสนอผลงานทางวิชาการระดับชาติและนานาชาติ
|
คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ได้กำหนดยุทธศาสตร์ การผลิตบัณฑิตที่เชี่ยวชาญทางด้านวิทยาศาสตร์และทันต่อการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยมีเป้าประสงค์ในการปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตร เพื่อผลิตบัณฑิตให้ มีความเชี่ยวชาญทางด้านวิทยาศาสตร์ ผ่านกลยุทธ์การพัฒนา/ปรับปรุงหลักสูตรให้มี
เข้มแข็งและมีความทันสมัยเปลี่ยนแปลงของโลก เข้าใจในบริบทของสังคมและความต้องการของตลาดแรงงาน ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพลิกโฉมมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ที่ให้ความสำคัญกับการจัดการเรียนการสอน ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตรสมัยใหม่
ในระบบการประกันคุณภาพการศึกษาภายในระดับอุดมศึกษาได้กำหนดให้หลักสูตรเน้นการพัฒนานักศึกษา
ให้เป็นผู้ที่มีทักษะที่จำเป็นสำหรับการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ซึ่งประกอบด้วย 4 กลุ่ม ได้แก่
(1) กลุ่มวิชาหลัก (core subjects)
(2) กลุ่มทักษะชีวิตและอาชีพ (life and career skills) ได้แก่ ความสามารถในการปรับตัวและยืดหยุ่น
ความคิดริเริ่มและการเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและข้ามวัฒนธรรม ความรับผิดชอบและความ
สามารถผลิตผลงาน ความเป็นผู้นำและรับผิดชอบต่อสังคม
(3) กลุ่มทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม (learning and innovation skills) ได้แก่ การคิดเชิงวิพากษ์และ
การแก้ปัญหา นวัตกรรมและการสร้างสรรค์ การสื่อสารและความร่วมมือกัน และ
(4) กลุ่มทักษะสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี (information, media and technology skills
ดังนั้นเพื่อให้นักศึกษาของแต่ละหลักสูตรในคณะวิทยาศาสตร์เป็นผู้ที่มีทักษะที่จำเป็นสำหรับการเรียนรู้ใน
ศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะทักษะที่ (4) กลุ่มทักษะสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี (information, media and technology skills
คณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จึงได้จัดทำ “โครงการอบรมเทคนิคการนำเสนอผลงานทางวิชาการระดับชาติและนานาชาติ”
เพื่อตอบสนองยุทธศาสตร์ และเป็นนักปฏิบัติที่เชี่ยวชาญ ความรู้ โดยเปิดโอกาสให้นักศึกษาชั้นปีที่ 3 - 4 ได้ฝึกการนำเสนอผลงานทางวิชาการ
มีความกระตือรือร้นและแสดงออก และเพื่อให้นักศึกษาได้มีความรู้ ความเข้าใจในการนำเทคนิคการสอนไปใช้ในสถานณ์การต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม
เพื่อสามารถนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์ไปถ่ายทอดให้ผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
|
คำสำคัญ :
เทคนิคการนำเสนอผลงานวิชาการ ระดับชาติ ระดับนานาชาติ
|
กลุ่มบทความ :
กลุ่มงานตามสมรรถนะบุคลากร
|
หมวดหมู่ :
กลุ่มงานสายวิชาการ
|
สถิติการเข้าถึง :
เปิดอ่าน
39
ครั้ง | แสดงความคิดเห็น
0
ครั้ง
|
ผู้เขียน
ศิรศักดิ์ ศศิวรรณพงศ์
วันที่เขียน
24/5/2566 11:00:49
แก้ไขล่าสุดเมื่อ
8/6/2566 10:54:29
|
|
|
|
|
|
|
การพัฒนาตนเองด้านการวิจัย1
»
การตั้งตำรับน้ำมันเหลือง
|
ขมิ้นชันและไพลเป็นสมุนไพรไทยที่มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาและสรรพคุณทางยาหลากหลาย สารสกัดและน้ำมันที่สกัดจาก
สมุนไพรทั้งสองชนิดมีการนำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หรือนำมาผลิตเพื่อใช้เป็นยาประจำบ้านลักษณะการใช้ทาภายนอก ในงานวิจัยนี้ ได้ตั้งตำรับน้ำมันเหลืองที่สกัดได้จากเทคนิคการกลั่นด้วยไอน้ำและมีน้ำมันหอมระเหยขมิ้นชันและไพลเป็นองค์ประกอบที่
สัดส่วนต่าง ๆ (1:1 1:2 และ 2:1 โดยปริมาตร) นำน้ำมันหอมระเหยผสมมาผ่านกระบวนการบ่มด้วย พิมเสน การบูร เมนทอล ที่
สภาวะสุญญากาศ นอกจากนี้ ได้นำน้ำมันเหลืองแต่ละสูตรมาศึกษาฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย ผลการศึกษาพบว่า น้ำมันเหลืองที่มี
องค์ประกอบของน้ำมันหอมระเหยขมิ้นชันและไพลที่สัดส่วน 2:1 โดยปริมาตร มีประสิทธิภาพในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรียได้ดี สามารถ
ยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย Methicillin-resistant Staphylococcus aureus (MRSA) และ Staphylococcus epidermidis อย่างน้อยที่
ระดับความเข้มข้น 1 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร นอกจากนี้ ความเข้มข้นต่ำสุดที่สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย (Minimum
inhibition concentration, MIC) ทั้งสองสายพันธุ์เท่ากับ 58.25 และ 50.55 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร สำหรับค่าความเข้มข้นต่ำสุดที่
สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรีย (Minimum bactericidal concentration, MBC) ในทั้งสองเชื้อแบคทีเรีย มีคา่ เท่ากับ 200.00 ไมโครกรัม/ มิลลิลิตร ตามลำดับ
|
คำสำคัญ :
น้ำมันเหลือง
|
กลุ่มบทความ :
กลุ่มงานตามสมรรถนะบุคลากร
|
หมวดหมู่ :
กลุ่มงานสายวิชาการ
|
สถิติการเข้าถึง :
เปิดอ่าน
135
ครั้ง | แสดงความคิดเห็น
0
ครั้ง
|
ผู้เขียน
ฐิติพรรณ ฉิมสุข
วันที่เขียน
5/4/2566 16:20:09
แก้ไขล่าสุดเมื่อ
4/6/2566 17:28:02
|
|
|
การพัฒนาตนเองด้านการวิจัย1
»
การตั้งตำรับน้ำมันเหลือง
|
ขมิ้นชันและไพลเป็นสมุนไพรไทยที่มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาและสรรพคุณทางยาหลากหลาย สารสกัดและน้ำมันที่สกัดจากสมุนไพรทั้งสองชนิดมีการนำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หรือนำมาผลิตเพื่อใช้เป็นยาประจำบ้านลักษณะการใช้ทาภายนอก ในงานวิจัยนี้ ได้ตั้งตำรับน้ำมันเหลืองที่สกัดได้จากเทคนิคการกลั่นด้วยไอน้ำและมีน้ำมันหอมระเหยขมิ้นชันและไพลเป็นองค์ประกอบที่ สัดส่วนต่าง ๆ (1:1 1:2 และ 2:1 โดยปริมาตร) นำน้ำมันหอมระเหยผสมมาผ่านกระบวนการบ่มด้วย พิมเสน การบูร เมนทอล ที่สภาวะสุญญากาศ นอกจากนี้ ได้นำน้ำมันเหลืองแต่ละสูตรมาศึกษาฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย ผลการศึกษาพบว่า น้ำมันเหลืองที่มี องค์ประกอบของน้ำมันหอมระเหยขมิ้นชันและไพลที่สัดส่วน 2:1 โดยปริมาตร มีประสิทธิภาพในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรียได้ดี สามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย Methicillin-resistant Staphylococcus aureus (MRSA) และ Staphylococcus epidermidis อย่างน้อยที่ ระดับความเข้มข้น 1 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร นอกจากนี้ ความเข้มข้นต่ำสุดที่สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย (Minimum inhibition concentration, MIC) ทั้งสองสายพันธุ์เท่ากับ 58.25 และ 50.55 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร สำหรับค่าความเข้มข้นต่ำสุดที่ สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรีย (Minimum bactericidal concentration, MBC) ในทั้งสองเชื้อแบคทีเรีย มีคา่ เท่ากับ 200.00 ไมโครกรัม/ มิลลิลิตร ตามลำดับ
|
คำสำคัญ :
yellow oil
|
กลุ่มบทความ :
กลุ่มงานตามสมรรถนะบุคลากร
|
หมวดหมู่ :
กลุ่มงานสายวิชาการ
|
สถิติการเข้าถึง :
เปิดอ่าน
113
ครั้ง | แสดงความคิดเห็น
0
ครั้ง
|
ผู้เขียน
ฐิติพรรณ ฉิมสุข
วันที่เขียน
5/4/2566 16:08:00
แก้ไขล่าสุดเมื่อ
7/6/2566 17:49:41
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
สรุปการใช้ประโยชน์โครงการจัดการการเรียนการสอนที่ดีเพื่อปลูกฝังผู้เรียนมีความคิดใหม่ก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ และการคิดค้นนวัตกรรม…
»
โครงการจัดการการเรียนการสอนที่ดีเพื่อปลูกฝังผู้เรียนมีความคิดใหม่ก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ และการคิดค้นนวัตกรรม2566
|
การออกแบบการจัดการเรียนการสอนตามเกณฑ์ AUN QA version 4ต้องอาศัยหลักการTeaching methodเพื่อแก้ปัญหาการเรียนที่น่าเบื่อ เช่น อาจารย์พูดคนเดียวตลอดเช่น lecture คนเดียว ไม่ได้ให้ผู้เรียน มีส่วนร่วม ให้เปลี่ยนมาเป็นการเรียนที่สนุกสุด ๆเช่นการที่มีการสอนโดยมีนักศึกษาเป็นศูนย์กลางให้ทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็น เข้าร่วมกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อก่อให้เกิดการกระตุ้นผู้เรียนให้คิดอาจแบ่งเป็นความคิดสร้างสรรค์และ คิดเชิงนวัตกรรมโดยความคิดเชิงสร้างสรรค์ซึ่งเป็นองค์ประกอบภายในต้องมีการผสมผสานknowledge skill attribute ต้องมีการแลกเปลี่ยนต้องมี creative thinking ต้องทำให้กล้าคิดไม่ยอมแพ้ กระตุ้นสร้างแรงจูงใจ ต้องกระตุ้นเรื่อย ๆ แต่อย่ามากเกินไปจะก่อให้เกิดความเครียดให้ผู้เรียนมากเกินไปส่วนความคิดเชิงนวัตกรรมจะต้องมีการเติมมูลค่าในการทำให้เกิดการคิดสร้างสรรค์ต้องมีประโยชน์กับส่วนรวมเช่น ชุมชน หมู่บ้าน ประเทศชาติต้องมีการพลิกมุม ต้องมีการ creative ต้องเป็นประโยชน์ ชัดเจน ต้องมีฐานข้อมูลและต้องมี big data
การสอนที่ดีต้องอาศัยบทบาทที่สำคัญของผู้สอนดังนี้คือ
ลักษณะผู้สอนที่ดีต้องชมด้วยความจริงใจยอมรับความมีค่าของแต่ละบุคคล อาจมีการชมในห้องหรือมีการชมส่วนตัว ห้ามpromote คนใดคนหนึ่งในห้อง ต้องผ่อนคลาย ต้องใส่ใจ สนใจในคุณค่าของทุกคนต้องถามว่าทำไมคิดแบบนี้ ต้องกระตุ้นไปเรื่อย ๆ และะการออกแบบการสอน-ต้องมีการแลกเปลี่ยนลักษณะที่สำคัญ1.ต้องมีแรงจูงใจการกระตุ้นแรงจูงใจต้องสร้างพื้นที่ปลอดภัย ไม่มีการตำหนิ สร้างความภูมิใจ2. การอบรมเลี้ยงดู3.ต้องมีบุคลิกภาพที่ดี 4.สมองดี และ5.สภาพแวดล้อมดีและเหมาะสมต่อการเรียนการสอน
เทคนิคการสอน
1.LECTURE การสอนแบบบรรยายอย่างเดียว
2.DEMONSTRATION การสาธิตประกอบการสอน
3.EXPERIMENT การมีdirection lab มีการสรุปผลและวิจารณ์ผล
4.DEDUCTION/INDUCTION
DEDUCTION คือต้องมีการพิสูจน์ทฤษฎี
INDUCTIONคือต้องมีการสร้างทฤษฎีใหม่
5.FIELD TRIP ใช้แหล่งเรียนรู้ ร่วมกับcreative สร้างproject
6.SMALL GROUP DISCUSSION การแบ่งเป็นกลุ่มเล็ก ๆในการเรียนการสอน
7.ROLE PLAYING เป็นบทบาทสมมุติ เป็นการประเมินสิ่งแวดล้อมให้เขาเป็นผู้นำชุมชน ผู้ใหญ่บ้านมาdebaseกัน
8.DRAMATIZATION เช่น การแสดงละคร ต้องมีการร่างบทสนทนา เช่น Science show
9.SIMULATION เริ่มด้วยการจำลองสถานการณ์ต่าง ๆ
10.COOPERATIVE LEARNING เป็นการร่วมมือแบบจิกซอ
11.WORK-INTEGRATED LEARNING การทำงานร่วมกันคล้ายสถานประกอบการ
12.PHENOMENON-BASED LEARNING เป็นปรากฏการณ์ที่เชื่อมโยงกับชีวิตจริง เช่น โครงการบ้านโป่ง แม่โจ้ จัดเป็นจมูกของเชียงใหม่เป็นต้น
13.PROBLEM-BASED LEARNING เช่น การทำปัญหาพิเศษ
|
คำสำคัญ :
AUN 4 teaching method การออกแบบการสอน
|
กลุ่มบทความ :
กลุ่มงานตามสมรรถนะบุคลากร
|
หมวดหมู่ :
กลุ่มงานสายวิชาการ
|
สถิติการเข้าถึง :
เปิดอ่าน
218
ครั้ง | แสดงความคิดเห็น
0
ครั้ง
|
ผู้เขียน
ทุเรียน ทาเจริญ
วันที่เขียน
9/2/2566 11:10:45
แก้ไขล่าสุดเมื่อ
8/6/2566 11:22:02
|
|
|
|
|
ประชุมวิชาการ PACCON 2019
»
ประชุมวิชาการ PACCON 2023
|
ประชุมวิชาการ Pure and Applied Chemistry International Conference 2023 (PACCON2023) ระหว่างวันที่ 20 - 21 มกราคม 2566 ในวันที่ 20-21 มกราคม 2566 ณ หอประชุมสมเด็จย่า (C4) และอาคารพลเอก สาเภา ชูศรี (E4) มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย โดยสำนักวิชาวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงร่วมกับสมาคมเคมี แห่งประเทศไทย ในพระอุปภัมภ์ของศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ อัคคราช กุมารี ภายใต้หัวข้อ “Chemical Diversity Towards Sustainable Development Goals. ” ซึ่งเป็นการประชุมวิชาการนานาชาติทางด้านวิทยาศาสตร์และการประยุกต์
- การประชุมครั้งนี้มีหัวข้อหลักคือ การประยุกต์เคมีที่หลากหลายเพื่อนำไปพัฒนาประเทศแบบยั้งยืน ซึ่งมีหลายแขนงทางเคมี เช่น เคมีวิเคราะห์ อินทรีย์เคมี อนินทรีย์เคมี เป็นต้น จากการประชุมจึงได้รับความรู้ที่นำมาประยุกต์เพื่อนำไปพัฒนาประเทศแบบยั้งยืน ที่เกี่ยวกับเสริมสร้างความแข็งแกร่งของกลไกการดำ เนินงานและฟื้นฟูความร่วมมือระดับโลกเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
-ได้รับความรู้เกี่ยวกับงานวิจัยที่ทันสมัย เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง
- ได้เข้าร่วมนำเสนอผลงานในรูปแบบโปสเตอร์ ชื่อเรื่อง "Determination of Riboflavin and Folate in Honey and Rice using
High Performance Liquid Chromatography"
|
คำสำคัญ :
HPLC, rice, honey, riboflavin, folate
|
กลุ่มบทความ :
กลุ่มงานตามสมรรถนะบุคลากร
|
หมวดหมู่ :
กลุ่มงานสายวิชาการ
|
สถิติการเข้าถึง :
เปิดอ่าน
3040
ครั้ง | แสดงความคิดเห็น
0
ครั้ง
|
ผู้เขียน
ศิริรัตน์ ไพศาลสุทธิชล
วันที่เขียน
2/2/2566 12:28:11
แก้ไขล่าสุดเมื่อ
4/6/2566 16:31:56
|
|
|
|
|
|
|
การประชุมวิชาการ
»
อบรมรู้จักระบบและเกณฑ์ AUN-QA ใน ๑ วัน
|
ตามที่คณะวิทยาศาสตร์ได้อนุญาตให้ข้าพเจ้า อาจารย์ ดร.เชิดชัย มีเอียด พนักงานมหาวิทยาลัย ตำแหน่งอาจารย์ สังกัด หลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสถิติฯ เข้าร่วมโครงการฝึกอบรม เรื่อง “รู้จักระบบและเกณฑ์ AUN-QA ใน ๑ วัน” ในวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๖๕ เวลา ๐๘.๓๐ - ๑๖.๐๐ น.ผ่านทางระบบออนไลน์ด้วย Zoom Cloud meeting นั้น
บัดนี้ ข้าพเจ้าได้เข้าร่วมโครงการฝึกอบรม เรื่อง “รู้จักระบบและเกณฑ์ AUN-QA ใน ๑ วัน” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นจึงขอรายงานสรุปเนื้อหา และประโยชน์ที่ได้รับ ดังนี้
สรุปเนื้อหาที่ได้รับจากการเข้าประชุม/อบรม ฯลฯ
ในการฝึกอบรม และเรียนรู้ เรื่อง “รู้จักระบบและเกณฑ์ AUN-QA ใน ๑ วัน” โดยวิทยากรบรรยาย ๒ ท่าน ได้แก่ รองศาสตราจารย์ ดร.เภสัชกรหญิง กัญคดา อนุวงศ์ และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อาจรี ศุภสุธีกุล จากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ โดยสรุปเนื้อหาที่ได้จากการอบรม ดังนี้
ตัวแบบ AUN-QA เป็นตัวแบบเพื่อใช้ในการรับรองคุณภาพ โดยเป็นการประเมินจากภายนอก (External Quality Assurance: EQA) โดยระบบ AUN-QA (รายละเอียดโครงสร้างดังภาพที่ ๑) ที่จะบรรยายถึงเกณฑ์และระบบนั้น จะใช้ Version ๔.๐ โดยมีเกณฑ์ที่แตกต่างจาก Version ๓.๐ โดยมีการปรับยุบรวมบางเกณฑ์ให้อยู่ภายใต้เกณฑ์เดียวกัน ซึ่ง Version ๔.๐ ระดับหลักสูตรจะมีทั้งหมด ๕๓ ข้อเกณฑ์ ภายใต้ ๘ Criteria
ภาพที่ ๑ ตัวแบบ AUN-QA เพื่อใช้ในการประกันคุณภาพ External Quality Assurance, EQA
จากภาพที่ ๑ ตัวแบบ AUN-QA นั้นถูกนำไปใช้ในด้านการประกันคุณภาพต่าง ๆ และทางด้านการศึกษาได้นำมาปรับใช้ในการประกันคุณภาพทางการศึกษา โดยระบบประกันคุณภาพนั้น สามารถจำแนกได้เป็น ๒ ประเภท ได้แก่
Principle-based QA Model
Role-based QA Model
โดย Principle-based QA Model เป็นระบบประกันคุณภาพที่ไม่บอกวิธีการทำงาน แต่บอกเฉพาะแนวทางในการทำงาน ซึ่ง AUN-QA ก็อยู่ในประเภทนี้ และโดยส่วนใหญ่ระบบประกันคุณภาพมักเป็นแบบ Principle-based QA Model ประมาณ ๙๐% ซึ่งแตกต่างจาก Role-based QA Model กล่าวคือ จะบอกวิธีการ/บอกเอกสารที่ใช้ในการประกอบ และมีการบอกถึงเป้าหมายอย่างชัดเจน โดยระบบประกันประเภทนี้ อาทิเช่น ระบบ ISO เป็นต้น
ซึ่งในระบบ AUN-QA ก่อนที่เราจะทำการประกันคุณภาพเราจำเป็นจะต้องกำหนดเป้าหมายเสียก่อน โดยที่เราจะต้องทำ การจัดการศึกษาเชิงผลลัพธ์ (Design based Outcome-based Education framework) ก่อน โดยที่เราจะทำการกำหนดเป้าประสงค์การเรียนรู้ (Learning Outcome) ให้ชัดเจนก่อน แล้วเราจึงทำการออกแบบ กำหนดกิจกรรมวิธีการ เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์การเรียนรู้ (รายละเอียดดังภาพที่ ๒)
ภาพที่ ๒ Outcome-Based Education : OBE
จากภาพที่ ๒ โดยในการที่เราจะทำการออกแบบกิจกรรม/การดำเนินการเพื่อให้บรรลุตามเป้าประสงค์ของเรานั้น ต้องคำนึงถึงองค์ประกอบต่าง ๆ ได้แก่
Curriculum design
Teaching-Leaning activities
Student Assessment
Co-curricular activities
Lecturer’s competency
Student service
Facilities
โดยการบรรลุเป้าประสงค์การเรียนรู้นั้น เราจะต้องสามารถตรวจสอบได้ว่า เมื่อสิ้นสุดกระบวนการเรียนรู้แล้ว สามารถทำอะไรได้บ้างหรือเรียนรู้อะไรได้เพิ่มเติมบ้าง
ในระบบ AUN-QA Version ๔.๐ มีเกณฑ์ (Criteria) ทั้งหมด ๘ เกณฑ์ รายละเอียดดังภาพที่ ๓
ภาพที่ 3 ตัวแบบ AUN-QA Version 4.0
จากภาพที่ 3 เราจะเริ่มต้นกำหนดจาก Stakeholder Needs เป็นหลัก กล่าวคือ เราทำการวิเคราะห์ความต้องการของผู้ใช้/ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียก่อนที่จะดำเนินการสร้างเครื่องมือมาเพื่อประกันคุณภาพ และสร้างกระบวนการเพื่อควบคุมหลักสูตรให้เป็นไปตามมาตรฐานการเรียนรู้ และสนองตอบต่อความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเป็นหลัก
โดยเกณฑ์การประเมินระบบ AUN-QA ระดับหลักสูตรมีเกณฑ์ทั้งหมด 8 Criteria (53 requirements) โดยมีรายละเอียด ดังนี้
Criteria 1 – Expected Learning Outcomes
Requirements:
หลักสูตรฯ ต้องแสดงให้เห็นถึง Expected Leaning Outcomes ที่เหมาะสมภายใต้กรอบของการเรียนรู้ อาทิเช่น Bloom Taxonomy (รายละเอียดดังภาพที่ 4)
หลักสูตรฯ ต้องแสดงให้เห็นถึง Expected Leaning Outcomes สำหรับทุกรายวิชาในหลักสูตร
หลักสูตรฯ ต้องแสดงให้เห็นถึง Expected Learning Outcomes ภายใต้การเรียนรู้ทั้งแบบ generic outcomes และ specific Outcomes
หลักสูตรฯ ต้องแสดงให้เห็นถึงความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยเฉพาะผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากภายนอก โดยสะท้อนจาก Expected Leaning Outcomes
หลักสูตรฯ ต้องแสดงให้เห็นถึง Expected Leaning Outcomes ที่สำเร็จการศึกษาตามระยะเวลาของหลักสูตรฯ
ภาพที่ 4 Bloom’s Taxonomy (Revised) : Cognition
Criteria 2 – Programme Structure and Content
Requirements:
2.1 คุณลักษณะเฉพาะของหลักสูตรฯ และทุกรายวิชาในหลักสูตรฯ จะต้องมีการปรับให้ทันสมัย และมีช่องทางในการสื่อสารกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด
2.2 การออกแบบ Curriculum จะต้องสอดคล้อง และสามารถสะท้อนถึง Expected Leaning Outcomes ได้
2.3 การออกแบบ Curriculum ต้องนำเอาข้อเสนอแนะของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยเฉพาะจากภายนอก มาเพื่อใช้ในการพิจารณาในการออกแบบ
2.4 การสร้างในแต่ละรายวิชาจะต้องสร้างเพื่อให้บรรลุ Expected Leaning Outcomes
2.5 Curriculum ต้องแสดงให้เห็นทุกรายวิชา เป็นไปตามลำดับ การเรียนรู้เป็นไปตามชั้นปี รายวิชาชั้นปีที่ 1 เรียนรู้ระดับเบื้องต้น แล้วไต่ระดับการเรียนรู้ที่สูงขึ้นในชั้นปีที่สูงขึ้นตามลำดับ
2.6 Curriculum ไล่ตามลำดับรายวิชาเมเจอร์ และไมเนอร์ตามลำดับ
2.7 หลักสูตรฯ แสดงให้เห็นถึงความทันสมัย และนำไปสู่การปฏิบัติจริงในสถานประกอบการได้
Criteria 3 – Teaching and Leaning Approach
Requirements:
3.1 ปรัชญการศึกษาจะต้องแสดงให้เห็นถึงการสื่อสารกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยสะท้อนผ่าน teaching and learning activities
3.2 Teaching and learning activities ถูกนำมาใช้ในกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม
3.3 Active Learning and Teaching นำมาใช้ในการจัดกระบวนการเรียนกับผู้เรียน
3.4 Teaching and learning activities ถูกนำมาปรับใช้กับผู้เรียน รวมถึงการเรียนรู้ตลอดชีวิต
3.5 การใช้ Active learning มาใช้กับผู้เรียนในด้านความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม และอื่น ๆ
3.6 กระบวนการจัดการเรียนการสอนมีความต่อเนื่องและมีการปรับปรุงเพื่อตอบสนองความต้องการของสถานประกอบการ
Criteria 4 – Student Assessment
ในเกณฑ์นี้สามารถสรุปได้ คือ การประเมินผู้เรียน โดยมีกระบวนการ วิธีการในการประเมินผู้เรียนได้ตรงตามวัตถุประสงค์ของกระบวนการจัดการเรียนรู้ และท้ายที่สุดสามารถตอบสนองต่อความต้องการของสถานประกอบการได้
Criteria 5 – Academic Staff
ในส่วนของเกณฑ์นี้ เป็นการอธิบายถึงคุณภาพ ศักยภาพของบุคลากรทั้งสายวิชาการ และสายสนับสนุนที่มีผลต่อกระบวนการจัดการเรียนรู้ เพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของรายวิชา หลักสูตร และตอบสนองต่อความต้องการของสถานประกอบการ
Criteria 6 – Student Support Service
ในส่วนของเกณฑ์นี้ เป็นการกล่าวถึงสิ่งที่สนับสนุนด้านการเรียนการสอน ในหลักสูตรฯ ว่ามีการจัดกระบวนการเรียนให้สอดคล้อง เหมาะสมกับผู้เรียน และมีการติดตามผู้เรียนให้คำปรึกษาด้านการเรียน ตลอดหลักสูตรฯ เพื่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ และติดตามเพื่อประเมินให้เป็นไปตามเกณฑ์ และเวลาให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
Criteria 7 – Facilities and Infrastructure
ภายใต้เกณฑ์นี้กล่าวถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ หรือสิ่งสนับสนุนผู้เรียน ผู้สอน อาทิเช่น ห้องสมุด ห้องปฏิบัติการต่าง ๆ เทคโนโลยีสารสนเทศต่าง ๆ ที่สนับสนุนภายในสถาบันการศึกษา เป็นต้น เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ ประสิทธิผลในการเรียนรู้ การสอน
Criteria 8 – Output and Outcomes
ภายใต้เกณฑ์นี้ กล่าวถึง เกณฑ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ระยะเวลาในการสำเร็จการศึกษา เป็นไปตามระยะเวลาของหลักสูตรฯ ที่กำหนดไว้ การได้งานทำหลังสำเร็จการศึกษาไปแล้ว ตลอดจนความพึงพอใขของผู้ใช้บัณฑิต เป็นต้น
ดังนั้น สามารถสรุปได้ว่ากระบวนการประเมินด้วยเกณฑ์ AUN-QA Version 4 รายละเอียดดังภาพที่ 5 ดังนี้
ภาพที่ 5 กระบวนการประเมินด้วยเกณฑ์ AUN-QA
ประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานในตำแหน่งหน้าที่
2.1 ได้รับความรู้เกี่ยวกับเกณฑ์ ระบบ AUN-QA Version 4.0
2.2 สามารถนำองค์ความรู้ที่ได้จากการอบรมไปประยุกต์ใช้ในการเขียนรายงานการประกันคุณภาพการศึกษา ระดับหลักสูตร ภายใต้เกณฑ์ AUN-QA Version 4.0
ประโยชน์ต่อหน่วยงาน (ระดับงาน/หลักสูตร/คณะ)
3.1 สามารถนำองค์ความรู้ที่ได้จากการอบรมมาประยุกต์ใช้ในด้านการจัดทำรายงานการประกันคุณภาพการศึกษา ระดับหลักสูตรได้
3.2 สามารถนำองค์ความรู้ที่ได้ นำมาปรับใช้ในการพัฒนาการจัดการเรียน การสอนเพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ของการจัดการในระดับหลักสูตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตามที่คณะวิทยาศาสตร์ได้อนุญาตให้ข้าพเจ้า อาจารย์ ดร.เชิดชัย มีเอียด พนักงานมหาวิทยาลัย ตำแหน่งอาจารย์ สังกัด หลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสถิติฯ เข้าร่วมโครงการฝึกอบรม เรื่อง “รู้จักระบบและเกณฑ์ AUN-QA ใน ๑ วัน” ในวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๖๕ เวลา ๐๘.๓๐ - ๑๖.๐๐ น.ผ่านทางระบบออนไลน์ด้วย Zoom Cloud meeting นั้น
บัดนี้ ข้าพเจ้าได้เข้าร่วมโครงการฝึกอบรม เรื่อง “รู้จักระบบและเกณฑ์ AUN-QA ใน ๑ วัน” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นจึงขอรายงานสรุปเนื้อหา และประโยชน์ที่ได้รับ ดังนี้
สรุปเนื้อหาที่ได้รับจากการเข้าประชุม/อบรม ฯลฯ
ในการฝึกอบรม และเรียนรู้ เรื่อง “รู้จักระบบและเกณฑ์ AUN-QA ใน ๑ วัน” โดยวิทยากรบรรยาย ๒ ท่าน ได้แก่ รองศาสตราจารย์ ดร.เภสัชกรหญิง กัญคดา อนุวงศ์ และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อาจรี ศุภสุธีกุล จากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ โดยสรุปเนื้อหาที่ได้จากการอบรม ดังนี้
ตัวแบบ AUN-QA เป็นตัวแบบเพื่อใช้ในการรับรองคุณภาพ โดยเป็นการประเมินจากภายนอก (External Quality Assurance: EQA) โดยระบบ AUN-QA (รายละเอียดโครงสร้างดังภาพที่ ๑) ที่จะบรรยายถึงเกณฑ์และระบบนั้น จะใช้ Version ๔.๐ โดยมีเกณฑ์ที่แตกต่างจาก Version ๓.๐ โดยมีการปรับยุบรวมบางเกณฑ์ให้อยู่ภายใต้เกณฑ์เดียวกัน ซึ่ง Version ๔.๐ ระดับหลักสูตรจะมีทั้งหมด ๕๓ ข้อเกณฑ์ ภายใต้ ๘ Criteria
ภาพที่ ๑ ตัวแบบ AUN-QA เพื่อใช้ในการประกันคุณภาพ External Quality Assurance, EQA
จากภาพที่ ๑ ตัวแบบ AUN-QA นั้นถูกนำไปใช้ในด้านการประกันคุณภาพต่าง ๆ และทางด้านการศึกษาได้นำมาปรับใช้ในการประกันคุณภาพทางการศึกษา โดยระบบประกันคุณภาพนั้น สามารถจำแนกได้เป็น ๒ ประเภท ได้แก่
Principle-based QA Model
Role-based QA Model
โดย Principle-based QA Model เป็นระบบประกันคุณภาพที่ไม่บอกวิธีการทำงาน แต่บอกเฉพาะแนวทางในการทำงาน ซึ่ง AUN-QA ก็อยู่ในประเภทนี้ และโดยส่วนใหญ่ระบบประกันคุณภาพมักเป็นแบบ Principle-based QA Model ประมาณ ๙๐% ซึ่งแตกต่างจาก Role-based QA Model กล่าวคือ จะบอกวิธีการ/บอกเอกสารที่ใช้ในการประกอบ และมีการบอกถึงเป้าหมายอย่างชัดเจน โดยระบบประกันประเภทนี้ อาทิเช่น ระบบ ISO เป็นต้น
ซึ่งในระบบ AUN-QA ก่อนที่เราจะทำการประกันคุณภาพเราจำเป็นจะต้องกำหนดเป้าหมายเสียก่อน โดยที่เราจะต้องทำ การจัดการศึกษาเชิงผลลัพธ์ (Design based Outcome-based Education framework) ก่อน โดยที่เราจะทำการกำหนดเป้าประสงค์การเรียนรู้ (Learning Outcome) ให้ชัดเจนก่อน แล้วเราจึงทำการออกแบบ กำหนดกิจกรรมวิธีการ เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์การเรียนรู้ (รายละเอียดดังภาพที่ ๒)
ภาพที่ ๒ Outcome-Based Education : OBE
จากภาพที่ ๒ โดยในการที่เราจะทำการออกแบบกิจกรรม/การดำเนินการเพื่อให้บรรลุตามเป้าประสงค์ของเรานั้น ต้องคำนึงถึงองค์ประกอบต่าง ๆ ได้แก่
Curriculum design
Teaching-Leaning activities
Student Assessment
Co-curricular activities
Lecturer’s competency
Student service
Facilities
โดยการบรรลุเป้าประสงค์การเรียนรู้นั้น เราจะต้องสามารถตรวจสอบได้ว่า เมื่อสิ้นสุดกระบวนการเรียนรู้แล้ว สามารถทำอะไรได้บ้างหรือเรียนรู้อะไรได้เพิ่มเติมบ้าง
ในระบบ AUN-QA Version ๔.๐ มีเกณฑ์ (Criteria) ทั้งหมด ๘ เกณฑ์ รายละเอียดดังภาพที่ ๓
ภาพที่ 3 ตัวแบบ AUN-QA Version 4.0
จากภาพที่ 3 เราจะเริ่มต้นกำหนดจาก Stakeholder Needs เป็นหลัก กล่าวคือ เราทำการวิเคราะห์ความต้องการของผู้ใช้/ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียก่อนที่จะดำเนินการสร้างเครื่องมือมาเพื่อประกันคุณภาพ และสร้างกระบวนการเพื่อควบคุมหลักสูตรให้เป็นไปตามมาตรฐานการเรียนรู้ และสนองตอบต่อความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเป็นหลัก
โดยเกณฑ์การประเมินระบบ AUN-QA ระดับหลักสูตรมีเกณฑ์ทั้งหมด 8 Criteria (53 requirements) โดยมีรายละเอียด ดังนี้
Criteria 1 – Expected Learning Outcomes
Requirements:
หลักสูตรฯ ต้องแสดงให้เห็นถึง Expected Leaning Outcomes ที่เหมาะสมภายใต้กรอบของการเรียนรู้ อาทิเช่น Bloom Taxonomy (รายละเอียดดังภาพที่ 4)
หลักสูตรฯ ต้องแสดงให้เห็นถึง Expected Leaning Outcomes สำหรับทุกรายวิชาในหลักสูตร
หลักสูตรฯ ต้องแสดงให้เห็นถึง Expected Learning Outcomes ภายใต้การเรียนรู้ทั้งแบบ generic outcomes และ specific Outcomes
หลักสูตรฯ ต้องแสดงให้เห็นถึงความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยเฉพาะผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากภายนอก โดยสะท้อนจาก Expected Leaning Outcomes
หลักสูตรฯ ต้องแสดงให้เห็นถึง Expected Leaning Outcomes ที่สำเร็จการศึกษาตามระยะเวลาของหลักสูตรฯ
ภาพที่ 4 Bloom’s Taxonomy (Revised) : Cognition
Criteria 2 – Programme Structure and Content
Requirements:
2.1 คุณลักษณะเฉพาะของหลักสูตรฯ และทุกรายวิชาในหลักสูตรฯ จะต้องมีการปรับให้ทันสมัย และมีช่องทางในการสื่อสารกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด
2.2 การออกแบบ Curriculum จะต้องสอดคล้อง และสามารถสะท้อนถึง Expected Leaning Outcomes ได้
2.3 การออกแบบ Curriculum ต้องนำเอาข้อเสนอแนะของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยเฉพาะจากภายนอก มาเพื่อใช้ในการพิจารณาในการออกแบบ
2.4 การสร้างในแต่ละรายวิชาจะต้องสร้างเพื่อให้บรรลุ Expected Leaning Outcomes
2.5 Curriculum ต้องแสดงให้เห็นทุกรายวิชา เป็นไปตามลำดับ การเรียนรู้เป็นไปตามชั้นปี รายวิชาชั้นปีที่ 1 เรียนรู้ระดับเบื้องต้น แล้วไต่ระดับการเรียนรู้ที่สูงขึ้นในชั้นปีที่สูงขึ้นตามลำดับ
2.6 Curriculum ไล่ตามลำดับรายวิชาเมเจอร์ และไมเนอร์ตามลำดับ
2.7 หลักสูตรฯ แสดงให้เห็นถึงความทันสมัย และนำไปสู่การปฏิบัติจริงในสถานประกอบการได้
Criteria 3 – Teaching and Leaning Approach
Requirements:
3.1 ปรัชญการศึกษาจะต้องแสดงให้เห็นถึงการสื่อสารกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยสะท้อนผ่าน teaching and learning activities
3.2 Teaching and learning activities ถูกนำมาใช้ในกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม
3.3 Active Learning and Teaching นำมาใช้ในการจัดกระบวนการเรียนกับผู้เรียน
3.4 Teaching and learning activities ถูกนำมาปรับใช้กับผู้เรียน รวมถึงการเรียนรู้ตลอดชีวิต
3.5 การใช้ Active learning มาใช้กับผู้เรียนในด้านความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม และอื่น ๆ
3.6 กระบวนการจัดการเรียนการสอนมีความต่อเนื่องและมีการปรับปรุงเพื่อตอบสนองความต้องการของสถานประกอบการ
Criteria 4 – Student Assessment
ในเกณฑ์นี้สามารถสรุปได้ คือ การประเมินผู้เรียน โดยมีกระบวนการ วิธีการในการประเมินผู้เรียนได้ตรงตามวัตถุประสงค์ของกระบวนการจัดการเรียนรู้ และท้ายที่สุดสามารถตอบสนองต่อความต้องการของสถานประกอบการได้
Criteria 5 – Academic Staff
ในส่วนของเกณฑ์นี้ เป็นการอธิบายถึงคุณภาพ ศักยภาพของบุคลากรทั้งสายวิชาการ และสายสนับสนุนที่มีผลต่อกระบวนการจัดการเรียนรู้ เพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของรายวิชา หลักสูตร และตอบสนองต่อความต้องการของสถานประกอบการ
Criteria 6 – Student Support Service
ในส่วนของเกณฑ์นี้ เป็นการกล่าวถึงสิ่งที่สนับสนุนด้านการเรียนการสอน ในหลักสูตรฯ ว่ามีการจัดกระบวนการเรียนให้สอดคล้อง เหมาะสมกับผู้เรียน และมีการติดตามผู้เรียนให้คำปรึกษาด้านการเรียน ตลอดหลักสูตรฯ เพื่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ และติดตามเพื่อประเมินให้เป็นไปตามเกณฑ์ และเวลาให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
Criteria 7 – Facilities and Infrastructure
ภายใต้เกณฑ์นี้กล่าวถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ หรือสิ่งสนับสนุนผู้เรียน ผู้สอน อาทิเช่น ห้องสมุด ห้องปฏิบัติการต่าง ๆ เทคโนโลยีสารสนเทศต่าง ๆ ที่สนับสนุนภายในสถาบันการศึกษา เป็นต้น เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ ประสิทธิผลในการเรียนรู้ การสอน
Criteria 8 – Output and Outcomes
ภายใต้เกณฑ์นี้ กล่าวถึง เกณฑ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ระยะเวลาในการสำเร็จการศึกษา เป็นไปตามระยะเวลาของหลักสูตรฯ ที่กำหนดไว้ การได้งานทำหลังสำเร็จการศึกษาไปแล้ว ตลอดจนความพึงพอใขของผู้ใช้บัณฑิต เป็นต้น
ดังนั้น สามารถสรุปได้ว่ากระบวนการประเมินด้วยเกณฑ์ AUN-QA Version 4 รายละเอียดดังภาพที่ 5 ดังนี้
ภาพที่ 5 กระบวนการประเมินด้วยเกณฑ์ AUN-QA
ประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานในตำแหน่งหน้าที่
2.1 ได้รับความรู้เกี่ยวกับเกณฑ์ ระบบ AUN-QA Version 4.0
2.2 สามารถนำองค์ความรู้ที่ได้จากการอบรมไปประยุกต์ใช้ในการเขียนรายงานการประกันคุณภาพการศึกษา ระดับหลักสูตร ภายใต้เกณฑ์ AUN-QA Version 4.0
ประโยชน์ต่อหน่วยงาน (ระดับงาน/หลักสูตร/คณะ)
3.1 สามารถนำองค์ความรู้ที่ได้จากการอบรมมาประยุกต์ใช้ในด้านการจัดทำรายงานการประกันคุณภาพการศึกษา ระดับหลักสูตรได้
3.2 สามารถนำองค์ความรู้ที่ได้ นำมาปรับใช้ในการพัฒนาการจัดการเรียน การสอนเพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ของการจัดการในระดับหลักสูตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
|
คำสำคัญ :
|
กลุ่มบทความ :
กลุ่มงานตามสมรรถนะบุคลากร
|
หมวดหมู่ :
กลุ่มงานการเจ้าหน้าที่
|
สถิติการเข้าถึง :
เปิดอ่าน
1109
ครั้ง | แสดงความคิดเห็น
0
ครั้ง
|
ผู้เขียน
เชิดชัย มีเอียด
วันที่เขียน
30/9/2565 13:58:10
แก้ไขล่าสุดเมื่อ
6/6/2566 1:52:53
|
|
|
|
|
|