|
|
|
|
|
|
งานวิจัยปวีณา
»
รายงานสรุปเนื้อหาและการนำไปใช้ประโยชน์จากการเข้าประชุมวิชาการ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ประจำปี 2566
|
จากการได้เข้าร่วมประชุมวิชาการระดับชาติ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ประจำปี 2566 เรื่อง นวัตกรรมเกษตรอาหาร และสุขภาพ ระหว่างวันที่ 21-22 ธันวาคม 2566 ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา มหาวิทยาลัยแม่โจ้ นั้น ทำให้ได้รับประโยชน์ดังนี้
(1) รับทราบและเพิ่มพูนองค์ความรู้ด้านการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้านการเกษตร อาหาร สุขภาพ และสิ่งแวดล้อม ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ทางวิชาการ จากการเผยแพร่ผลงานวิจัย งานสร้างสรรค์และนวัตกรรม ในรูปแบบของการเสวนาวิชาการ และการนำเสนอบทความ ซึ่งการเข้าร่วมประชุมครั้งนี้สอดคล้องกับผลลัพธ์การเรียนรู้ (PLOs) ในเรื่องของการมีทักษะการปฏิบัติงาน และทักษะการแก้ไขปัญหาด้านเทคโนโลยีชีวภาพทางการเกษตร รวมถึงสาขาที่เกี่ยวข้อง
(2) ประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานในตำแหน่งหน้าที่ ได้เรียนรู้กระบวนการทักษะการทำงานวิจัย เรียนรู้ทักษะการปฏิบัติงาน และทักษะการแก้ไขปัญหาด้านเทคโนโลยีชีวภาพทางการเกษตร และมีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และประสบการณ์ทางวิชาการ ได้นำองค์ความรู้มาบูรณาการกับรายวิชา ชว 412 หลักการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช ชว 413 สรีรวิทยาประยุกต์ของการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช และ 20302200 หัวข้อสนใจทางเทคโนโลยีชีวภาพ
(3) ประโยชน์ต่อหน่วยงาน (ระดับงาน/หลักสูตร/คณะ) มีความร่วมมือทางวิชาการ และการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการของหน่วยงาน
|
คำสำคัญ :
|
กลุ่มบทความ :
กลุ่มงานตามสมรรถนะบุคลากร
|
หมวดหมู่ :
กลุ่มงานสายวิชาการ
|
สถิติการเข้าถึง :
เปิดอ่าน
90
ครั้ง | แสดงความคิดเห็น
0
ครั้ง
|
ผู้เขียน
ปวีณา ภูมิสุทธาผล
วันที่เขียน
22/1/2567 14:49:36
แก้ไขล่าสุดเมื่อ
19/3/2567 16:48:54
|
|
|
สรุปและการนำไปใช้ประโยชน์การประชุมวิชาการระดับชาติมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ประจำปี 2566
»
สรุปและการนำไปใช้ประโยชน์การประชุมวิชาการระดับชาติมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ประจำปี 2566
|
ความก้าวหน้าทางด้านเกษตร วิจัย และนวัตกรรมทั่วไป ปรับปรุงพันธุ์ พันธุศาสตร์ ชีววิทยาและสิ่งแวดล้อมโดยสามารถสรุปเนื้อหาสำคัญต่างได้ดังนี้คือ
1.งานวิจัยเรื่องเครื่องหมายไมโครแซตเทลไลต์ที่แยกความแตกต่างระหว่างข้าวโฟเลตสูงและต่ำ เรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงพันธุ์ข้าวให้มีปริมาณโฟเลตสูงโดยการทดลองครั้งนี้มีการใช้เครื่องหมายดีเอ็นเอจำนวน 27 เครื่องหมาย พบว่า 5 เครื่องหมาย ได้แก่ RM3042 RM13473 RM18828 RM6082 และ RM2482 เครื่องหมายดีเอ็นเอเหล่านี้จะนำไปใช้ในการตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างเครื่องหมายดีเอ็นเอกับปริมาณโฟเลตในประชากร F 2 ต่อไปซึ่งศึกษาเครื่องหมายดีเอ็นเอชนิดไมโครแซตเทลไลต์ที่สามารถตรวจสอบความแตกต่างระหว่างข้าวที่มีปริมาณโฟเลตสูงจำนวน 2 พันธุ์ ได้แก่ ขี้ตมแดง และเจ้าเหลืองและข้าวที่มีโฟเลตต่ำแต่คุณภาพการหุงต้มดีเป็นที่นิยมบริโภคจำนวน 4 พันธุ์ ได้แก่ กข 43 ไรซ์เบอรี่ ปทุมธานี 1และเจ้าก่ำหอมแม่โจ้ 1 เอแสดงความแตกต่างของขนาดแถบดีเอ็นเอระหว่างพันธุ์ข้าวที่มีปริมาณโฟเลตสูงและต่ำ
2.งานวิจัยเรื่อง การแก้ไขยีน Pi21 โดยระบบ CRISPR/Cas9 เพื่อให้ข้าวต้านทานโรคไหม้ (ณัฐพงและคณะ,2566)ศึกษาพบว่า ยีน Pi21 มี ผลควบคุมเชิงลบต่อความต้านทานโรคไหม้โดยเป็นที่สำคัญที่เกิดจากเชื้อราทำให้เกิดการสูญเสียผลผลิตของข้าวอย่างรุนแรงในทุกปี งานวิจัยนี้จึงศึกษาลำดับเบสของยีน Pi21/pi21 ที่เกี่ยวข้องกับความ ต้านทานโรคไหม้ และแก้ไขยีน Pi21 ด้วยระบบ CRISPR/Cas9 เพื่อให้ข้าวมีความต้านทานต่อโรคไหม้เพิ่มมากขึ้น โดยค้นหายีนPi21/pi21 ด้วยเทคนิคพีซีอาร์แล้ววิเคราะห์ลำดับเบส พบว่า ยีน Pi21 ในข้าว 3 พันธุ์ ได้แก่ หางยี 71 ขาวดอกมะลิ 105 และ Kasalath เป็น Haplotype C ที่จะพบในพันธุ์ข้าวอ่อนแอต่อโรคไหม้ ดังนั้นงานวิจัยนี้จึงได้ ออกแบบ sgRNA ของระบบ CRISPR/Cas9 มีตำแหน่งอยู่ที่เอกซอน 1 เพื่อให้เกิดการแก้ไขยีน Pi21 ที่จะกระทบต่อ บริเวณสำคัญของยีนทำให้ยีนไม่ทำงาน การถ่าย construct เข้าสู่ข้าวพันธุ์ Kasalath พบว่า มีประสิทธิภาพการถ่าย ยีนสูง และเมื่อนำต้นที่มีการแทรกของยีนระบบ CRISPR/Cas9 มาวิเคราะห์ลำดับเบสพบว่า มีการแก้ไขยีนแบบ biallelic หรือ heterozygous จึงจะนำเมล็ดข้าวรุ่น T1 ปลูกเพื่อวิเคราะห์รูปแบบการแก้ไขยีน Pi21 และทดสอบ ความต้านทานโรคไหม้ต่อไป
3.งานวิจัยเรื่อง ความหลากหลายทางพันธุกรรมของยีนที่เกี่ยวข้องกับการออกดอกในลำไยพันธุ์ต่าง ๆ จากการกระตุ้นด้วยสารโพแทสเซียมคลอเรตการศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาความหลากหลายทางพันธุกรรมของลำไยทั้งหมด 32 พันธุ์ โดยวิเคราะห์รูปแบบของชิ้นส่วนดีเอ็นเอที่ถูกเพิ่มจำนวนด้วยวิธีพีซีอาร์ โดยใช้คู่ไพรเมอร์ทั้งหมด 7 คู่ไพรเมอร์ที่ออกแบบมาจากลำดับนิวคลีโอไทด์ของชิ้นส่วนยีนที่แสดงออกแตกต่างกันระหว่างตัวอย่างลำไยที่ไม่ได้รับและได้รับสารโพแทสเซียมคลอเรตซึ่งมีความสามารถในการกระตุ้นการออกดอกของลำไย ผลการทดลองพบว่าไพรเมอร์จำนวน 7 คู่ไพรเมอร์ มีอุณหภูมิในขั้นตอน Annealing อยู่ระหว่าง 56 – 60 องศาเซลเซียส ซึ่งไพรเมอร์ชนิด “LcAF9” เป็นไพรเมอร์ที่ให้ผลการทดลองที่ดีที่สุด สามารถเพิ่มปริมาณชิ้นส่วนดีเอ็นเอได้อย่างจำเพาะ ปรากฎแถบดีเอ็นเอที่เห็นได้ชัดเจนและแสดงความแตกต่างทางพันธุกรรม ซึ่งมีลำไย 3 พันธุ์ ได้แก่ เบี้ยวเขียว แห้ว และเถา ปรากฏแถบของดีเอ็นเอมากกว่า 1 แถบ แตกต่างจากลำไยพันธุ์อื่น ๆ ที่ปรากฏแถบเพียงแถบเดียวเท่านั้น เปรียบเทียบกับฐานข้อมูล ซึ่งข้อมูลที่ได้จะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการศึกษากลไกการออกดอกของลำไย
4.เรื่องการเพิ่มมูลค่าวัสดุเหลือใช้ทางด้านการเกษตร ทำให้สามารถมีความรูความเข้าใจในกาสร้างมูลค่าผลิตภัณฑ์ว่าจะต้องมีการพัฒนาและต่อยอดอย่างไรบ้างจึงจะก่อให้เกิดความสำเร็จ
5.กลยุทธ์การปั้นธุรกิจการเกษตรเพื่อความยั่งยืน โดยทำให้ทราบว่าภาคธุรกิจได้ช่วยเหลือเกษตรกรโดยมีการรับซื้อใบอ้อยมูลค่าเกือบตนบาทต่อตัน ทำให้เกษตรกรลดการเผาใบอ้อยลงไปมาก่อให้เกิดผลดีในการลดภาวะต่างๆรวมทั้งลดโลกร้อนด้วย
สรุปฟังประชุมวิชาการด้านพันธุศาสตร์ทำให้สามารถเข้าใจถึงเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่มาช่วยทำให้การปรับปรุงพันธุ์พืชต่าง ๆสำเร็จได้รวดเร็วยิ่งขึ้นและการบรรยายพิเศษด้านการใช้วัสดุเหลือใช้มาสร้างมูลค่าเช่นการรับซื้อเศษวัสดุทางการเกษตรทำให้มีการลดการเผาวัสดุลงไปอย่างมาก
|
คำสำคัญ :
|
กลุ่มบทความ :
กลุ่มงานตามสมรรถนะบุคลากร
|
หมวดหมู่ :
กลุ่มงานสายวิชาการ
|
สถิติการเข้าถึง :
เปิดอ่าน
118
ครั้ง | แสดงความคิดเห็น
0
ครั้ง
|
ผู้เขียน
ทุเรียน ทาเจริญ
วันที่เขียน
11/1/2567 13:44:10
แก้ไขล่าสุดเมื่อ
15/3/2567 23:13:16
|
|
|
|
|
|
การประชุมวิชาการระดับชาติ ประจำปี 2566
»
การตั้งตำรับครีมบำรุงผิวกายที่มีน้ำมันหอมระเหยและสารสกัดจากดอกกุหลาบมอญ
|
กุหลาบมอญสุโขทัย (Damask rose) มีชื่อวิทยาศาสตร์คือ Rosa damascena เป็นดอกกุหลาบที่พบทั้งดอกสีชมพูอ่อนถึงเข้มและสีแดง นิยมนำมาสกัดเป็นน้ำมันกุหลาบเพื่อใช้ในการผลิตน้ำหอมและผลิตเป็นน้ำกุหลาบใช้ในการแต่งกลิ่นในอาหารและเครื่องดื่ม นอกจากนี้ กลีบดอกกุหลาบสามารถนำมาผลิตเป็นชาสุมนไพร ในงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสกัดน้ำมันหอมระเหยและสารสกัดจากดอกกุหลาบมอญสุโขทัยด้วยเทคนิคการสกัดโดยใช้คลื่นไมโครเวฟช่วย และศึกษาสมบัติทางกายภาพและเคมีของส่วนสกัดทั้งสองชนิด นอกจากนี้ ได้ตั้งตำรับครีมบำรุงผิวกายที่มีส่วนประกอบของน้ำมันหอมระเหยและสารสกัดจากดอกกุหลาบ และทดสอบความคงตัวของตำรับครีมบำรุงผิวกาย ผลการทดสอบพบว่าปริมาณร้อยละผลผลิตของน้ำมันหอมระเหยและสารสกัดเท่ากับ 0.12 และ 30.25 ตามลำดับ ปริมาณฟีนอลิกรวมของน้ำมันหอมระเหยกุหลาบและสารสกัดมีค่าเท่ากับ 212.23±2.4 และ 438.39±3.1 mg GAE/g extract ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ DPPH ของน้ำมันหอมระเหยกุหลาบและสารสกัดดอกกุหลาบที่ทดสอบพบว่ามีค่า IC50 เท่ากับ 6.98 และ 5.78 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร (g/mL) (IC50 ของโทรล็อกซ์เท่ากับ 4.67 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร) และปริมาณฟวาโวนอยด์รวมของน้ำมันหอมระเหยกุหลาบและสารสกัดดอกกุหลาบมีค่าเท่ากับ 100.22±1.3 และ 169.94±2.3 mg QE/g extract ตามลำดับ สารสกัดและน้ำมันหอมระเหยนำมาพัฒนาเป็นตำรับครีมบำรุงผิว พบว่าเนื้อครีมมีสีชมพูอ่อน กลิ่นดอกกุหลาบ มีค่ากรดด่างเท่ากับ 5.15-5.50 เนื้อครีมมีการกระจายตัวคงที่เมื่อทดสอบที่อุณหภูมิห้องและที่สภาวะเร่งเป็นเวลา 3 เดือน และมีความคงตัวไม่แยกชั้น
|
คำสำคัญ :
ดอกกุหลาบมอญสุโขทัย ดอกกุหลาบมอญสุโขทัย สารสกัดดอกกุหลาบ น้ำมันหอมระเหยดอกกุหลาบ
|
กลุ่มบทความ :
กลุ่มงานตามสมรรถนะบุคลากร
|
หมวดหมู่ :
กลุ่มงานสายวิชาการ
|
สถิติการเข้าถึง :
เปิดอ่าน
66
ครั้ง | แสดงความคิดเห็น
0
ครั้ง
|
ผู้เขียน
ฐิติพรรณ ฉิมสุข
วันที่เขียน
4/1/2567 15:00:14
แก้ไขล่าสุดเมื่อ
19/3/2567 12:37:42
|
|
|
|
รายงานสรุปเนื้อหาและการนำไปใช้ประโยชน์จากการเข้าอบรม สัมมนา หรือประชุมวิชาการ
»
การศึกษาที่เน้นผลลัพท์และการประเมินการเรียนรู้ระดับรายวิชา (CLOs)
|
การศึกษาที่เน้นผลลัพท์และการประเมินการเรียนรู้ระดับรายวิชา (CLOs)
ผลลัพท์การเรียนรู้ตามคุณวุฒิแต่ละระดับ จะต้องสอดคล้องกับอัตลักษณ์ของหลักสูตร สถาบัน วิชาชีพ และบริบทของประเทศ/โลก ซึ่งประกอบด้วยอย่างน้อย 4 ด้าน ได้แก่
1. ความรู้ (Knowledge) คือ สิ่งที่สั่งสมมาจากการเรียน การค้นคว้า หรือประสบการณ์ที่เกิดจากหลักสูตร ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นต่อการต่อยอดในด้านความรู้เพื่อประกอบอาชีพ ดำรงชีพ และการพัฒนาที่ยั่งยืน
2. ทักษะ (Skills) คือความสามารถที่เกิดจาการเรียนรู้ ปฏิบัติให้เกิดความคล่องแคล่ว ชำนาญเพื่อพัฒนาวิชาชีพหรือวิชาการ
3. จริยธรรม (Ethics) คือพฤติกรรมหรือการกระทำของบุคคลลที่สะท้อนถึงความเป็นผู้มีคุณธรรม ศีลธรรม และจรรยาบรรณ เพื่อประโยชน์ส่วนรวมและส่วนตน ทั้งต่อหน้าและลับหลังผู้อื่น
4. ลักษณะบุคคล (Character) คือบุคลิกภาพ ลักษณะนิสัย และค่านิยมที่สะท้อนคุณลักษณะเฉพาะศาสตร์ วิชาชีพ และสถาบัน โดยผ่านการเรียนรู้ และฝึกประสบการณ์จากหลักสูตรให้มีความเหมาะสมกับระดับคุณวุฒิ
-การเชื่อมโยง PLO สู่ CLO
อาจารย์ผู้สอนต้องเห็น PLO เป็นภาพเดียวกัน ซึ่งเป็นความสามารถที่สำคัญและจำเป็นที่ผู้เรียนต้องทำได้เมื่อสำเร็จการศึกษา แล้วกำหนด CLOs หรือวัตถุประสงค์ของรายวิชาที่สอดคล้องกับ PLO และในการกำหนด CLOs จะต้องนำไปสู่การวัดประเมินผู้เรียนได้ ตามหลัก Taxonomy Bloom’s หลังจากนั้นจัดกิจกรรมการเรียน แล้ววัดและประเมินผู้เรียน
- การเชื่อมโยง CLOs กับวิธีการจัดการเรียนการสอน และการประเมินในระดับรายวิชา โดยการพิจารณาในด้านต่าง ๆ ดังนี้ ด้านเนื้อหาสาระ ด้านวัตถุประสงค์ ด้านการประเมินผล และ ด้านการจัดการเรียนรู้
|
คำสำคัญ :
การเชื่อมโยง PLO สู่ CLO
|
กลุ่มบทความ :
กลุ่มงานตามสมรรถนะบุคลากร
|
หมวดหมู่ :
กลุ่มงานสายวิชาการ
|
สถิติการเข้าถึง :
เปิดอ่าน
86
ครั้ง | แสดงความคิดเห็น
0
ครั้ง
|
ผู้เขียน
เจนจิรา ทิพย์ชะ
วันที่เขียน
1/12/2566 10:50:50
แก้ไขล่าสุดเมื่อ
9/3/2567 5:42:42
|
|
|
|
|
|
|
SAFE2023
»
SAFE2023 น้ำหอม กุหลาบ การสกัด
|
กุหลาบมอญ มีชื่อวิทยาศาสตร์คือ Rosa damascene Mill. วงศ์ Rosaceae ชื่อสามัญคือ Damask rose เป็นดอกไม้ที่สวยงาม มีกลิ่นหอมแรง ลักษณะสีดอกเป็นสีชมพูเข้ม ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันมีการนำดอกกุหลาบมอญมาใช้ประโยชน์อย่างหลากหลาย ทั้งด้านงานศิลปะ ด้านอาหารแต่งกลิ่น รส นำมาใช้ในการผลิตและปรุงน้ำหอม และด้านการแพทย์และเภสัชวิทยา ภาพรวมการนำมาใช้ประโยชน์ เช่น นำดอกกุหลาบมาร้อยพวงอุบะดอกไม้เพื่อนำไปใช้ในงานพิธีต่างๆ การนำดอกไม้สดมารับประทาน นำมาอบหรือตากแห้งผลิตเป็นชากุหลาบ หรือกระทั่งนำดอกกุหลาบมอญมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย สกัดเป็นหัวน้ำหอม ทำบุหงาเครื่องหอม นอกจากการนำดอกกุหลาบมาใช้ประโยชน์ดังกล่าวแล้ว พบว่าฤทธิ์ทางชีวภาพและทางเภสัชวิทยาของดอกกุหลาบมอญมีหลากหลาย เช่น ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย ฤทธิ์ต้านการอักเสบ ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ฤทธิ์ต้านไวรัส HIV ยาระบายอ่อนๆ ระงับอาการไอ ยาลดปวด ยาต้านการชัก เป็นต้น ในกลีบกุหลาบมีวิตามิน เกลือแร่ และแร่ธาตุหลายชนิด เช่น วิตามินซี วิตามินบี วิตามินเค โพแทสเซียม แร่ธาตุทองแดง ไอโอดีน แคลเซียม แคโรทีน เป็นต้น วิตามิน เกลือแร่ และแร่ธาตุ เหล่านี้ช่วยเรื่องระบบหัวใจ การสร้างเม็ดเลือด กระบวนการทำงานของต่อมไร้ท่อในร่างกาย รวมถึงการสร้างฮอร์โมนของต่อมไทรอยด์ น้ำมันหอมระเหยจากดอกกุหลาบช่วยคลายเครียด ลดการอักเสบ ฆ่าทำลายเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส สมานรักษาแผล ทำให้นอนหลับ ช่วยระงับประสาท สารสกัดจากดอกกุหลาบพบสารสำคัญหลายชนิดที่ช่วยบำรุงและดูแลผิวหนัง เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ปรับสมดุลสภาพผิว ช่วยบรรเทาผดผื่นแดง อาการแพ้ระคายเคืองจากสารเคมี ลดการอักเสบของผิวจากการบวม ร้อนแดง จากรังสียูวีในแสงแดด เสริมภูมิต้านทานของผิวหนัง
โดยทั่วไปเทคนิคการสกัดน้ำมันหอมระเหยมีหลายเทคนิค เช่น เทคนิคการกลั่นด้วยไอน้ำ (Stream distillation) เทคนิคการกลั่นด้วยน้ำ (Hydrodistillation) ซึ่งทั้งสองเทคนิคเป็นรูปแบบวิธีการสกัดด้วย Clavenger method การสกัดด้วยวิธีการบีบเย็น (Cold pressed) การสกัดด้วยตัวทำละลายอินทรีย์ (Solvent extraction) โดยตัวทำละลาย ที่มีการรายงานการนำมาใช้สกัด เช่น Petroleum ether, n-hexane เป็นต้น เทคนิคการสกัดด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เหลวหรือเรียกว่า การสกัดด้วยของไหลวิกฤตยิ่งยวด (Supercritical CO2 extraction) นอกจากนี้ยังมีเทคนิคอื่นๆ เช่น การสกัดด้วยไขมันหรืออองเฟลอราจ (Enfleurage) การแช่หมัก (Maceration) น้ำมันหอมระเหยจากดอกกุหลาบมีหลายเทคนิค การสกัดด้วยเทคนิคดั้งเดิมส่วนใหญ่จะมีสองขั้นตอนหลักๆ คือ ขั้นตอนแรกเป็นการสกัดด้วยตัวทำละลายอินทรีย์ จะได้ผลิตภัณฑ์เรียกว่า rose concrete จะได้ส่วนสกัดที่เป็นสารประกอบหลายชนิด เช่น Paraffins, Fatty acids, Fatty acid methyl esters สารประกอบ di- Terpenic และ tri-Terpenic เป็นต้น ในขั้นตอนที่สองจะนำส่วนกลั่นในขั้นตอนแรกนำมาสกัดด้วยเทคนิคการกลั่นด้วยน้ำหรือ Hydrodistillation ในขั้นตอนนี้จะให้สารประกอบหลักในน้ำมันหอมระเหยดอกกุหลาบที่นำไปใช้ผลิตผลิตภัณฑ์เครื่องหอมต่างๆ ปัจจุบันมีการพัฒนาเทคนิคการสกัดน้ำมันหอมระเหยดอกกุหลาบ เช่น เทคนิค Supercritical CO2 extraction ที่ความดัน 80 บาร์ และอุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส ที่จะช่วยลดสิ่งเจือปนที่พบในการสกัดด้วยตัวทำละลายอินทรีย์ที่ส่วนใหญ่เป็นสารไม่ระเหย เช่น Paraffins สำหรับส่วนสกัดที่เรียกว่า สารสกัดกุหลาบ สามารถเตรียมสารสกัดได้หลายเทคนิควิธี เช่น การกลั่นด้วยน้ำ การแช่หมัก การสกัดด้วยตัวทำละลายอินทรีย์ เป็นต้น นอกจากเทคนิคการสกัดดังกล่าวข้างต้นแล้ว อีกหนึ่งเทคนิคการสกัดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เนื่องจากไม่ใช้ตัวทำละลายอินทรีย์ ใช้ตัวทำละลายคือ น้ำ และเป็นเทคนิคหนึ่งที่สามารถสกัดสารจากพืชที่สนใจ และสกัดน้ำมันหอมระเหยได้ คือ เทคนิคการสกัดด้วยคลื่นไมโครเวฟหรือ Microwave assisted extraction (MAE) (ทรงศักดิ์, 2559) ที่มีการพัฒนารูปแบบการสกัดทั้งแบบ Microwave hydrodistillation (MWHD) และ Solvent free microwave assisted extraction (SFME) สามาถใช้สกัดน้ำมันหอมระเหยรวมถึงสารสกัดได้ โดยมีวัตถุดิบพืช ดอกไม้ สมุนไพร ในลักษณะพืชสด หรือแช่แข็ง เทคนิคประยุกต์เหล่านี้จะทำให้ลดระยะเวลาการสกัด ลดการใช้สารเคมีที่เป็นตัวทำละลายอินทรีย์ในการสกัด เพิ่มคุณภาพน้ำมันหอมระเหยและสารสกัดรวมถึงได้ร้อยละผลผลิตสูงมากขึ้น
|
คำสำคัญ :
การสกัด กุหลาบ น้ำหอม
|
กลุ่มบทความ :
กลุ่มงานตามสมรรถนะบุคลากร
|
หมวดหมู่ :
กลุ่มงานสายวิชาการ
|
สถิติการเข้าถึง :
เปิดอ่าน
96
ครั้ง | แสดงความคิดเห็น
0
ครั้ง
|
ผู้เขียน
ฐิติพรรณ ฉิมสุข
วันที่เขียน
25/9/2566 23:07:00
แก้ไขล่าสุดเมื่อ
14/3/2567 13:20:45
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|