ในปัจจุบัน ห้องปฏิบัติการในมหาวิทยาลัยมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนงานวิจัยและการเรียนการสอนทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งมักมีการใช้สารเคมี สารชีวภาพ และวัสดุที่อาจเป็นอันตราย ดังนั้น การจัดการของเสียในห้องปฏิบัติการอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อป้องกันอันตรายต่อบุคลากร สิ่งแวดล้อม และชุมชนโดยรอบ รวมถึงให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง การจัดการของเสียในห้องปฏิบัติการไม่ใช่เพียงเรื่องของความสะอาดหรือความเป็นระเบียบเท่านั้น แต่เป็นกระบวนการสำคัญที่ส่งผลต่อความปลอดภัยของบุคลากร ความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม และการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด การแยกของเสียที่ถูกต้อง การเก็บรักษาอย่างปลอดภัย การกำจัดอย่างเหมาะสม รวมถึงการมีระบบเอกสารและแนวปฏิบัติที่ชัดเจน ล้วนเป็นหัวใจสำคัญของห้องปฏิบัติการที่มีคุณภาพ และสามารถพัฒนาไปสู่ระดับสากลได้อย่างยั่งยืน
การจัดการของเสียอันตรายจากห้องปฏิบัติการสำหรับมหาวิทยาลัยให้มีความปลอดภัยตามมาตรฐานของสำนักวิจัยแห่งชาติ แนวทางการจัดการของเสียในห้องปฏิบัติการให้มีความปลอดภัย ในปัจจุบัน ห้องปฏิบัติการในมหาวิทยาลัยมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนงานวิจัยและการเรียนการสอนทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งมักมีการใช้สารเคมี สารชีวภาพ และวัสดุที่อาจเป็นอันตราย ดังนั้น การจัดการของเสียในห้องปฏิบัติการอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อป้องกันอันตรายต่อบุคลากร สิ่งแวดล้อม และชุมชนโดยรอบ รวมถึงให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 1. การแยกประเภทของเสียในห้องปฏิบัติการ การแยกประเภทของเสียเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญ โดยสามารถจำแนกได้เป็น 5 กลุ่มหลัก ได้แก่ • ของเสียเคมี เช่น กรด-ด่าง ตัวทำละลายอินทรีย์ โลหะหนัก ต้องแยกตามสมบัติทางเคมี และความอันตราย • ของเสียชีวภาพ เช่น ตัวอย่างเลือดหรือเชื้อจุลินทรีย์ ควรแยกตามระดับความเสี่ยงของเชื้อโรค (BSL) • ของเสียติดเชื้อ เช่น หลอดทดลองหรืออุปกรณ์ที่สัมผัสสารติดเชื้อ ต้องจัดเก็บในภาชนะเฉพาะ • ของเสียไวไฟ เช่น แอลกอฮอล์หรืออะซีโตน ต้องจัดเก็บในพื้นที่ปลอดภัย ห่างจากแหล่งจุดประกายไฟ • ของเสียทั่วไป เช่น กระดาษสะอาดหรือขวดพลาสติกที่ไม่ปนเปื้อน สามารถนำไปรีไซเคิลได้ การแยกของเสียอย่างถูกต้องตั้งแต่ต้นทาง จะช่วยให้การจัดเก็บและการกำจัดในภายหลังปลอดภัยยิ่งขึ้น 2. วิธีจัดเก็บของเสียอย่างปลอดภัย ของเสียแต่ละประเภทจำเป็นต้องจัดเก็บในภาชนะที่เหมาะสม เช่น ขวด HDPE สำหรับของเสียเคมีอินทรีย์, ถังแดงสำหรับของเสียติดเชื้อ หรือถังโลหะปิดสนิทสำหรับของเสียไวไฟ โดยต้องติดป้ายฉลากชัดเจน ระบุชื่อสาร, ความเข้มข้น, วันที่เริ่มใช้ และชื่อผู้รับผิดชอบ นอกจากนี้ ห้องเก็บของเสียควรแยกจากพื้นที่ปฏิบัติงานหลัก มีระบบระบายอากาศ และตรวจสอบสภาพภาชนะสม่ำเสมอ ควรบรรจุของเสียไม่เกิน 75-80% ของความจุภาชนะ เพื่อป้องกันการรั่วไหลหรือระเบิดจากแรงดันภายใน 3. แนวทางการกำจัดของเสียแต่ละประเภท การกำจัดของเสียในห้องปฏิบัติการต้องเป็นไปตามหลักวิชาการและกฎหมาย เช่น • ของเสียเคมีอินทรีย์ ควรส่งให้บริษัทที่ได้รับอนุญาตในการกำจัดของเสียอุตสาหกรรม • ของเสียกรด-ด่าง สามารถปรับสภาพให้เป็นกลาง (neutralization) ได้ภายในห้องแล็บ ภายใต้การควบคุม • ของเสียโลหะหนัก ต้องแยกเก็บและส่งกำจัดพิเศษ ห้ามทิ้งลงท่อน้ำ • ของเสียชีวภาพและติดเชื้อ ต้องผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อ เช่น Autoclave หรือเผาด้วยความร้อนสูง (incineration) ก่อนทิ้ง • ขยะทั่วไปที่ไม่ปนเปื้อน สามารถเข้าสู่ระบบการจัดการของเสียของมหาวิทยาลัยหรือส่งรีไซเคิลได้ 4. การจัดทำเอกสารและ SOP ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การจัดการของเสียมีมาตรฐานและตรวจสอบได้ ห้องปฏิบัติการควรมีระบบเอกสารที่ครอบคลุม มีการทบทวนและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เช่น • SOP (Standard Operating Procedure) สำหรับการจัดการของเสียแต่ละประเภท • Log book หรือ Waste Manifest สำหรับบันทึกการจัดเก็บ ขนย้าย และการกำจัด • ทะเบียนของเสีย (Waste Inventory) เพื่อจัดเก็บข้อมูลของเสียแต่ละชนิด • แผนฉุกเฉิน ในกรณีเกิดการรั่วไหล ไฟไหม้ หรืออุบัติเหตุ • รายงานการฝึกอบรมบุคลากร ด้านความปลอดภัยและการจัดการของเสีย 5. กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง การดำเนินการต้องสอดคล้องกับกฎหมายและแนวทางจากหน่วยงานต่าง ๆ เช่น • กรมควบคุมมลพิษ (PCD) – แนวทางการจัดการของเสียอันตรายจากชุมชน • กระทรวงสาธารณสุข – พ.ร.บ. การสาธารณสุข พ.ศ. 2535 และประกาศเกี่ยวกับของเสียติดเชื้อ • กรมโรงงานอุตสาหกรรม – ข้อกำหนดการจัดการกากของเสีย • สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ – สำหรับห้องปฏิบัติการที่มีการใช้สารกัมมันตรังสี • มาตรฐานสากลที่เกี่ยวข้อง เช่น WHO Biosafety Manual, OSHA, ISO 45001 การจัดการของเสียในห้องปฏิบัติการไม่ใช่เพียงเรื่องของความสะอาดหรือความเป็นระเบียบเท่านั้น แต่เป็นกระบวนการสำคัญที่ส่งผลต่อความปลอดภัยของบุคลากร ความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม และการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด การแยกของเสียที่ถูกต้อง การเก็บรักษาอย่างปลอดภัย การกำจัดอย่างเหมาะสม รวมถึงการมีระบบเอกสารและแนวปฏิบัติที่ชัดเจน ล้วนเป็นหัวใจสำคัญของห้องปฏิบัติการที่มีคุณภาพ และสามารถพัฒนาไปสู่ระดับสากลได้อย่างยั่งยืน