รายการบทความการแลกเปลี่ยนเรียนรู้หมวดหมู่ : ภาษา วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์
N/A
การบริการวิชาการสู่ชุมชนด้านการทำนุบำรุงมรดกทางวัฒนธรรม » ซุ้มประตูโขงวัดพระธาตุเสด็จ จังหวัดลำปาง
ซุ้มประตูโขงวัดพระธาตุเสด็จ นครลำปาง กับหลักฐานความงามในอดีตจากภาพถ่ายโบราณ ถ้ากล่าวถึงซุ้มประตูโขงสกุลช่างลำปางที่สวยงามอีกหนึ่งหลัง ในยุคพม่าปกครองล้านนา (พ.ศ. 2101-2300) คือซุ้มประตูโขงวัดพระธาตุเสด็จ(หลักฐานจากภาพถ่ายโบราณ) ไม่มีหลักฐานใดระบุปีที่สร้างซุ้มประตูโขงหลังนี้ที่ชัดเจน แต่สิ่งที่ยังคงเหลือให้เห็นเป็นหลักฐานด้านรูปแบบงานศิลปกรรมคือ “เซรามิคประดับ” และเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ของวัดพระธาตุเสด็จ เป็นหลักฐานที่น่าเชื่อถือและสันนิษฐานได้ว่าซุ้มประตูโขงหลังดังกล่าว ก็น่าจะสร้างขึ้นในคราวเดียวกันกับซุ้มประตูโขงวัดไหล่หินหลวงแก้วช้างยืน นอกจากนั้นแล้วยังมีบันทึกอีกว่า เมื่อ ปี พ.ศ. 2404 ครูบาปินตา วัดหลวงกลางเวียง(วัดบุญวาทย์วิหาร) และครูบาจินา ปกเสาซ่อมประตูโขงวัดพระธาตุเสด็จ ซึ่งก็หมายความว่าซุ้มประตูโขงได้มีมาก่อนหน้านี้แล้ว และได้ชำรุดเสียหายตามกาลเวลา จนได้มีครูบาทั้งสองมาเป็นประธานในการบูรณะซ่อมแซมอีกครั้ง ซึ่งปัจจุบันซุ้มประตูโขงวัดพระธาตุเสด็จ ถูกซ่อมแซมใหม่ในช่วงประมาณปี พ.ศ. 2475 จากหลักฐานภาพถ่ายโบราณ ด้วยลักษณะทางรูปแบบและการประดับตกแต่งซุ้มประตูโขงคล้ายกับวัดไหล่หินหลวงด้วยงานเซรามิคประดับ อันมีความเกี่ยวเนื่องกับครูบามหาป่าพระมหาปัญญาที่เคยบวชเรียนที่วัดพระธาตุเสด็จมาก่อน จึงเป็นเหตุให้เชื่อได้ว่ารูปแบบการสร้างประตูโขงนั้นน่าจะส่งอิทธิพลถึงกันไม่มากก็น้อย กรณีความสัมพันธ์ของวัดพระธาตุเสด็จ วัดไหล่หินหลวงแก้วช้างยืนและวัดพระธาตุลำปางหลวง เกิดจากความสัมพันธ์ในตัวบุคคลเป็นหลัก ตามบันทึกได้กล่าวถึงสมัยที่พม่าปกครองล้านนา ที่นครลำปางมีพระมหาป่า(พระในตระกูลอรัญวาสี) 2 รูป เป็นพี่น้องกัน คือพระมหาป่าเกสระปัญโญองค์พี่ จำพรรษาวัดไหล่หินหลวงแก้วช้างยืน และพระมหาปัญญาองค์น้อง จำพรรษาวัดพระธาตุลำปางหลวง องค์น้องเคยบวชเรียนอยู่วัดพระธาตุเสด็จ และพระมหาป่าองค์พี่บวชเรียนที่วัดป่าซางดอยเฮืองเมืองลำพูน ทั้งคู่กลับมาเป็นเจ้าอาวาสวัดดังกล่าวแล้วก็ได้เป็นต้นแบบหรือ “เค้าครู” ถ่ายทอดรูปแบบศิลปกรรมและพระธรรมให้กับวัดในลำปางยุคนี้ ในขณะนั้นประกอบด้วยวัดไหล่หินหลวงแก้วช้างยืน วัดพระธาตุลำปางหลวง วัดลำปางกลาง วัดปงยางคก วัดพระธาตุเสด็จ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีลูกศิษย์ต่างเมือง คือ ขุนด่านสุตตา เจ้าเมืองเถินที่ได้รับการถ่ายทอดรูปแบบงานศิลปกรรมไปยังเมืองเถิน จะสังเกตเห็นว่า ความสัมพันธ์ของพระมหาป่าและศิษย์สำนักครูเดียวกันนั้น เป็นหนึ่งในมูลเหตุให้เกิดการเปลี่ยนถ่ายช่างฝีมือและการหยิบยืมแบบแผนในการสร้างงานศิลปกรรมในยุคนี้มาก จากกรณีกลุ่มวัดดังกล่าวนี้ ทั้งวัดพระธาตุเสด็จ วัดไหล่หินแก้วช้างยืน วัดป่าตันหลวง วัดเวียงเถิน วัดล้อมแรด ทำให้มีการสร้างซุ้มประตูโขงในยุคสมัย รูปแบบ และคติการสร้างที่คล้ายๆกัน โดยอาจจะเป็นการใช้ตำรา สูตรช่าง ในรูปของอิทธิพลร่วมกันในช่วง 2 ศตวรรษนี้
คำสำคัญ : ซุ้มประตูโขง  
กลุ่มบทความ : บทความการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทั่วไป
หมวดหมู่ : ภาษา วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์
สถิติการเข้าถึง : เปิดอ่าน 2580  ครั้ง | แสดงความคิดเห็น 0  ครั้ง
ผู้เขียน ฐาปกรณ์ เครือระยา  วันที่เขียน 26/8/2564 13:47:29  แก้ไขล่าสุดเมื่อ 21/11/2567 16:01:35
การบริการวิชาการสู่ชุมชนด้านการทำนุบำรุงมรดกทางวัฒนธรรม » ช่อฟ้าแบบลำปาง
รูปแบบช่อฟ้ากลุ่มลำปางอันเป็นอัตลักษณ์เชิงช่าง ก็ต้องกล่าวถึงช่อฟ้าเซรามิกประดับวิหารวัดพระธาตุเสด็จ ที่เป็นช่อฟ้าเซรามิกรูปทรงเป็นพญานาค ที่ระบุว่าสร้างในปี จ.ศ. 1008 หรือ พ.ศ. 2189 ปัจจุบันจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์แห่ชาติหริภุญชัย และช่อฟ้าเซรามิกจากวิหารหลวงวัดพระธาตุลำปางหลวง ที่ปัจจุบันถอดเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์วัดพระธาตุลำปางหลวง ซึ่งเชื่อว่าถูกสร้างขึ้นในช่วงระยะเวลาที่ใกล้เคียงกัน เพราะรูปแบบของช่อฟ้าทั้งสอง มีลักษณะเหมือนกันคือมีปราสาทผ่าครึ่งต่อสันหลังช่อฟ้า อันเป็นส่วนประกอบสำคัญที่ทำให้รูปแบบช่อฟ้านั้นสมบูรณ์ และอีกหนึ่งชิ้น คือช่อฟ้าประดับวิหารน้ำแต้ม วัดพระธาตุลำปางหลวง โดยช่อฟ้าทั้งสามชิ้นนี้ทำจากดินเผาเคลือบสีเขียวแกมน้ำตาลเข้ม หรือที่ช่างเรียกว่าน้ำก้าบ ซึ่งเมื่อดูช่วงอายุของงานและอ้างตามจารึกการสร้างวิหารพบว่ามีอายุช่วงพุทธศตวรรษที่ 22 รูปแบบช่อฟ้าดังกล่าว ยังส่งอิทธิพลถึงรูปแบบช่อฟ้าในเมืองลำปางในช่วงระยะเวลาต่อมา แต่เป็นรูปแบบที่ปราสาทผ่าครึ่งหายไปเหลือแต่ตัวช่อฟ้า ดังปรากฏรูปแบบช่อฟ้าประดับวิหารโคมคำ วัดพระธาตุเสด็จ ที่สร้างขึ้นในปีพ.ศ. 2366 โดยพระเจ้าสุวรรณหอคำดวงทิพย์ ผู้ครองนครลำปาง และช่อฟ้าประดับวิหารไม้โบราณ วัดคะตึกเชียงมั่น ดังจารึกปีที่สร้างคือ พ.ศ. 2375 ซึ่งถึงแม้ว่าจะผ่านการบูรณะมาแล้วหลายครั้ง แต่รูปแบบช่อฟ้าดังกล่าวก็ยังคงอยู่และยังคงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ช่อฟ้าแบบงานช่างศิลป์ลำปางไว้อย่างชัดเจน รูปแบบช่อฟ้าอีกแบบหนึ่งที่ปรากฏขึ้นในเมืองลำปาง ช่วงพุทธศตวรรษที่ 24 เป็นต้นมา คือช่อฟ้าแบบศิลปะเชียงแสน ที่เข้ามาโดยกลุ่มช่างชาวเชียงแสนที่ถูกกวาดต้อนเข้ามาสู่เมืองลำปางในช่วงเวลาดังกล่าว ในยุคของพระเจ้ากาวิละ เกิดวิหารสกุลช่างเชียงแสนมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นทางรูปทรงที่มีเอกลักษณ์ชัดเจนกระจัดกระจายหลายพื้นที่ในจังหวัดลำปาง ดังปรากฏรูปแบบช่อฟ้าประดับวิหารวัดสุชาดาราม ที่สร้างขึ้นราวปี พ.ศ.2325-2352 รูปแบบช่อฟ้าประดับวิหารวัดหัวข่วง ที่มีอายุรุ่นเดียวกันกับวิหารวัดสุชาดาราม รูปแบบช่อฟ้าประดับวิหารวัดป่าดัวะ สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2430 โดยเจ้าวรวงค์และเจ้าอินตุ้ม ณ ลำปาง รูปแบบช่อฟ้าประดับวิหารวัดนางเหลียว สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2470 และรูปแบบช่อฟ้าประดับวิหารวัดศรีล้อม สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2496 ช่อฟ้าประดับวิหารทั้ง 5 หลังนี้ แสดงให้เห็นถึงการยังคงไว้ซึ่งงานช่างเชียงแสน ที่ส่งผ่านงานศิลปกรรมประดับศาสนาสถาน ในช่วงระยะเวลาเกือบ 2 ศตวรรษ ถึงแม้ว่าชาวเชียงแสนจะถูกโยกย้ายถิ่นฐาน แต่ก็ยังคงรักษาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของตนไว้บนพื้นที่เมืองลำปาง จนท้ายที่สุดกลายเป็นส่วนหนึ่งของมรดกทางวัฒนธรรมเมืองที่สำคัญ จากเส้นทางเวลาของรูปแบบช่อฟ้าบนพื้นที่จังหวัดลำปาง ก็พอมีเรื่องเล่าเพียงเท่านี้ เพื่อให้เห็นถึงความสัมพันธ์และการเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมที่ส่งถึงกันในพื้นที่เมืองลำปาง จากอดีตถึงปัจจุบันได้อย่างน่าสนใจ
คำสำคัญ : ช่อฟ้าลำปาง  
กลุ่มบทความ : บทความการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทั่วไป
หมวดหมู่ : ภาษา วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์
สถิติการเข้าถึง : เปิดอ่าน 1923  ครั้ง | แสดงความคิดเห็น 0  ครั้ง
ผู้เขียน ฐาปกรณ์ เครือระยา  วันที่เขียน 26/8/2564 13:42:04  แก้ไขล่าสุดเมื่อ 21/11/2567 15:51:02
การบริการวิชาการสู่ชุมชนด้านการทำนุบำรุงมรดกทางวัฒนธรรม » วัดร้างแสนขานกับจิตรกรรมเขียนสีกลางกรุ อายุ 600 ปี ค้นพบใหม่อีกแห่งในล้านนา
เจดีย์วัดร้างแสนขาน ตั้งอยู่บนถนนมณีนพรัตน์ ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ไม่ปรากฏชื่อวัดแสนขาน ในเอกสารตำนานพงศาวดาร แต่สันนิษฐานว่าอาจจะเป็นวัดที่ปรากฏชื่อในพงศาวดารโยนกว่า “...พญาเมืองเกษเกล้าได้ถูกอัญเชิญให้ขึ้นครองราชย์ แต่พระองค์ครองราชย์ได้แค่ 2 ปี พระองค์ก็ทรงเสียพระจริตจึงถูกปลงพระชนม์ และทำการส่งสักการ(เผา) ณ วัดแสนขาน แล้วจึงนำเอาพระอัฐิธาตุไปบรรจุไว้ ณ เจดีย์วัดโลกโมฬี..” อีกหนึ่งข้อสันนิษฐานคือ วัดนี้สร้างขึ้นโดยเจ้าแสนขาน หนึ่งในอำมาตย์ของพระเจ้าสามฝั่งแกน ที่คิดช่วยให้ "เจ้าลก" พระโอรสองค์ที่ 6 ในพญาสามฝั่งแกน ขึ้นครองราชย์ในนาม พระเจ้าติโลกราช แล้วบังคับให้พระเจ้าสามฝั่งแกนสละราชสมบัติ ในปี พ.ศ. 1985 ซึ่งต่อมาถูกพระเจ้าติโลกราชคุมขังและลดยศเป็น "หมื่นขาน" และให้ไปครองเมืองเชียงแสนแทน โดยสถาพปัจจุบันเป็นโบราณสถานที่ตั้งอยู่ในบริเวณบ้านพักอาศัยของประชาชน โดยการบุกรุกพื้นที่ของวัดจนถึงแนวขอบของฐานเจดีย์ รอบด้านเป็นอาคารบ้านพักชั้นเดียวและสองชั้น ซึ่งได้ทำการเช่าที่ดินจากราชพัสดุมาเป็นเวลานานหลายสิบปีแล้ว สิ่งที่น่าสนใจคือจิตรกรรมฝาผนังที่ถูกค้นพบในครั้งนี้ ถือเป็นหลักฐานใหม่ที่เกี่ยวข้องกับงานจิตรกรรมฝาผนังล้านนาในสมัยพุทธศตวรรษที่ 21 ซึ่งในอดีตที่ผ่านมามีข้อมูลเพียงงานจิตรกรรมฝาผนังในถ้ำคูหา วัดอุโมงค์ เชิงดอยสุเทพ ซึ่งเมื่อกล่าวถึงงานจิตรกรรมล้านนาโบราณในสมัยพุทธศตวรรษที่ 21 แล้ว ย่อมเป็นงานที่พบได้น้อยมากและเป็นภาพลายดอกไม้และลายธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ ทั้งนี้เนื่องจากการเวลาและสภาพภูมิอากาศ ที่เป็นตัวทำลายงานจิตรกรรมเขียนสีเหล่านั้น จากการค้นพบครั้งนี้เกิดจากการสำรวจวัดร้างในเขตเมืองเก่าเชียงใหม่ ระหว่างปี 2561-2562 นำโดย รศ.ดร. สืบศักดิ์ แสนยาเกียรติคุณ จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อ.ธวัชชัย ทำทอง จากมหาวิทยาลัยราชภัฎลำปาง และ อ.ฐาปกรณ์ เครือระยา จากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ได้ทำการสำรวจวัดร้างแสนขาน ตามเอกสารที่ได้บันทึกไว้ว่า วัดร้างดังกล่าวตั้งอยู่บริเวณทิศตะวันออกของวัดโลกโมฬี นอกจากนี้ยังพบว่าวัดร้างแสนขานยังไม่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากทางกรมศิลปากร จึงทำให้เห็นสภาพเจดีย์ร้างอยู่ท่ามกลางสิ่งปลูกสร้างสมัยใหม่ ซึ่งก็เป็นบ้านเรือนของประชาชนที่จับจองพื้นที่รายล้อมเขตโบราณสถานดังกล่าว โดยสภาพของเจดีย์ยังค่อนข้างเห็นเป็นองค์ชัดเจน รูปแบบของเจดีย์สามารถบ่งบอกรายละเอียดได้บ้างบางส่วน สิ่งที่ทำให้เราเห็นหลักฐานภาพจิตรกรรมล้านนาโบราณในสมัยพุทธศตวรรษที่ 21 ก็เพราะการขุดหาของมีค่าจากกรุจนกรุแตก ภาพเขียนฝาผนังภายในกรุของวัดร้างแสนขานนั้น เขียนขึ้นเพื่อตกแต่งภายในกรุสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็ก กว้าง 55 เซนติเมตร ยาว 140 เซนติเมตร และสูง 120 เซนติเมตร ซึ่งเป็นกรุชั้นใน ส่วนกรุชั้นนอก (กรุหลอก) จะมีการก่อปูนไม่ฉาบ ห่างออกมาจากกรุในด้านละประมาณ 40-45 เซนติเมตร โดยกรุดังกล่าวอยู่ในระดับตัวเรือนธาตุ จิตรกรรมฝาผนังประดับกรุ ปรากฏบนผนังกรุด้านทิศเหนือ(ตัวภาพหันหน้าไปทางทิศใต้) ซึ่งเป็นผนังฝั่งเดียวที่มีงานเขียนภาพจิตรกรรม อีกทั้งภาพหลักฐานจิตรกรรมฝาผนังในกรุมีสภาพลบเลือนไปมาก จำเป็นต้องใช้เทคนิคคัดลอกจิตรกรรมด้วยมือและคอมพิวเตอร์ควบคู่กัน โดยการคัดลอกลายเส้น เพื่อให้เห็นรายละเอียดของภาพรวมในงานจิตรกรรมฝาผนังอันเก่าแก่ของศิลปะล้านนา ซึ่งมีอายุกว่า 600 ปีได้ชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิม จิตรกรรมดังกล่าวเป็นเทคนิคเขียนสีปูนเปียก ซึ่งเป็นเทคนิคที่นิยมกันในยุคโบราณ เพื่อให้งานจิตรกรรมนั้นติดทนนาน ดังนั้นภายในห้องกรุเราจึงเห็นเนื้อปูนที่กะเทาะออกมาสองชั้นคือชั้นแรกคือปูนฉาบ และชั้นที่สองคือชั้นปูนเปียกเพื่อเตรียมเขียนงานจิตรกรรม สีที่ใช้เขียนพบว่ามีเพียงสองสีที่ชัดเจน คือสีแดงและสีดำ ซึ่งน่าจะเป็นสีที่มาจากชาดและยางรัก อันเป็นวัตถุให้สีที่นิยมกันในยุคโบราณ ส่วนภาพเขียนเป็นภาพเทวดา 2 องค์ องค์แรกไม่สามารถระบุได้เนื่องจากมีการกะเทาะของปูนบริเวณส่วนองค์เทวดาพอดี องค์ที่ 2 เป็นเทวดา 4 กร นั่นคือพระพรหมนั่นเอง พระพรหมทรงเครื่องสวมชฎามีรัศมี มือคู่แรกประนมมือไว้ มือคู่หลังกรีดกรายเหมือนถือช่อดอกไว้แต่ไม่ชัดเจน นุ่งผ้าสะบัดพลิ้ว รอบๆมีดอกไม้ลอยเป็นดอกโบตั๋น ส่วนฐานล่างสุดเป็นลายหม้อดอกบูรณฆฏะในหม้อเป็นดอกบัว ส่วนด้านบนเป็นลักษณะของรูปทรงสามเหลี่ยม ซึ่งจากการดูลายเส้นที่เลือนรางสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นรูปทรงของฉัตรหรือไม่ก็เป็นรูปทรงของเจดีย์ จิตรกรรมผาผนังภายในกรุวัดร้างแสนขาน ตามสภาพปัจจุบันนั้น อยู่ในสภาพที่ชำรุดลบเลือนมาก จนหลายคนเข้าใจว่าคงไม่มีภาพจิตรกรรมหลงเหลือ แต่จากการสำรวจครั้งนี้กลับพบหลักฐานของจิตรกรรมฝาผนังที่มีความสำคัญมากอีกชิ้นหนึ่งในล้านนา ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์ต่อวงการวิชากาต่อไปในอนาคต
คำสำคัญ : จิตรกรรมวัดร้างแสนขาน, จิตรกรรมล้านนา 600 ปี  
กลุ่มบทความ : บทความการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทั่วไป
หมวดหมู่ : ภาษา วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์
สถิติการเข้าถึง : เปิดอ่าน 2634  ครั้ง | แสดงความคิดเห็น 0  ครั้ง
ผู้เขียน ฐาปกรณ์ เครือระยา  วันที่เขียน 5/9/2563 22:20:19  แก้ไขล่าสุดเมื่อ 21/11/2567 15:34:21
บทความ » อาหารพื้นบ้านของชาวล้านนา
ภาคเหนือหรืออาณาจักรล้านนาในอดีต เป็นดินแดนแห่งหนึ่งที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาแต่อดีตจวบจน ปัจจุบัน มีผู้คนอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในดินแดนแห่งนี้จากหลาย ๆ แหล่ง ทำให้ได้รับวัฒนธรรมหลากหลาย จากชนชาติต่าง ๆ เข้ามาในชีวิตประจำวัน รวมถึงประเภทอาหารและการบริโภคอาหาร ประกอบกับลักษณะ ภูมิประเทศที่มีเทือกเขาน้อยใหญ่ และมีแหล่งต้นน้ำหลายสาย ทำให้อากาศค่อนข้างหนาวเย็นในฤดูหนาว และฤดูฝน ส่งผลให้มีพืชพันธุ์ธัญญาหารมากมายโดยเฉพาะผักพื้นบ้าน ชาวล้านนา (คนที่อาศัยในภาคเหนือ) ได้สรรค์สร้างอาหารที่มีหลากหลายประเภทหรือตำหรับที่มีเสน่ห์ และมีเอกลักษณ์รสชาติเป็นของตนเอง การปรุงอาหารของชาวล้านนาส่วนใหญ่จะมีทั้งรสอ่อน เผ็ด เค็ม เปรี้ยว แต่ไม่หวาน อาหารภาคเหนือไม่นิยมใส่ น้ำตาล ความหวานจะได้จากวัตถุดิบส่วนผสมที่นำมาประกอบอาหาร เช่น ความหวานจากผัก และปลา เป็นต้น
คำสำคัญ : อาหารล้านนา  
กลุ่มบทความ : บทความการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทั่วไป
หมวดหมู่ : ภาษา วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์
สถิติการเข้าถึง : เปิดอ่าน 5848  ครั้ง | แสดงความคิดเห็น 0  ครั้ง
ผู้เขียน กัณณิกา ข้ามสี่  วันที่เขียน 11/10/2562 10:31:57  แก้ไขล่าสุดเมื่อ 21/11/2567 15:35:07
บทความ » วันและกิจกรรมสำคัญในเทศกาลประเพณีปีใหม่เมืองของล้านนา
วันและกิจกรรมสำคัญในเทศกาลประเพณีปีใหม่เมืองของล้านนา
คำสำคัญ : ประเพณีลานนา  
กลุ่มบทความ : บทความการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทั่วไป
หมวดหมู่ : ภาษา วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์
สถิติการเข้าถึง : เปิดอ่าน 3462  ครั้ง | แสดงความคิดเห็น 0  ครั้ง
ผู้เขียน กัณณิกา ข้ามสี่  วันที่เขียน 4/9/2561 16:29:43  แก้ไขล่าสุดเมื่อ 21/11/2567 15:33:38
ภาษาและวัฒนธรรม ตามเส้นทางแสวงบุญคุมาโนะโคโด » ภาษาและวัฒนธรรม ตามเส้นทางแสวงบุญคุมาโนะโคโด
ทัศนศึกษาเกี่ยวกับภาษาและวัฒนธรรม ตามเส้นทางแสวงบุญคุมาโนะโคโด” ประเทศญี่ปุ่น
คำสำคัญ : คุมาโนะโคโด  ญี่ปุ่น  ภาษาและวัฒนธรรม  
กลุ่มบทความ : บทความการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทั่วไป
หมวดหมู่ : ภาษา วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์
สถิติการเข้าถึง : เปิดอ่าน 4258  ครั้ง | แสดงความคิดเห็น 0  ครั้ง
ผู้เขียน ลลิดา ภู่ทอง  วันที่เขียน 24/8/2561 14:29:31  แก้ไขล่าสุดเมื่อ 20/11/2567 13:43:24
เครื่องสักการะล้านนา » เครื่องสักการะล้านนา
กล่าวโดยรวมว่าด้วยเครื่องสักการะหลักในล้านนาได้แก่ “..ธุปบุปผาลาชาดวงดอกข้าวตอกดอกไม้ลำเทียน..” 1) ธุป(อ่านว่า ธุ-ปะ) แปลว่า ธูป 2) บุปผา แปลว่า ดอกไม้ 3) ลาชา(อ่านว่า ลา-จา) แปลว่าข้าวตอก 4) ลำเทียน คือ เทียน ของ 4 อย่างนี้ คือเครื่องสักการะหลักของชาวล้านนา
คำสำคัญ : เครื่องสักการะล้านนา  
กลุ่มบทความ : บทความการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทั่วไป
หมวดหมู่ : ภาษา วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์
สถิติการเข้าถึง : เปิดอ่าน 5673  ครั้ง | แสดงความคิดเห็น 0  ครั้ง
ผู้เขียน ฐาปกรณ์ เครือระยา  วันที่เขียน 7/8/2560 12:00:05  แก้ไขล่าสุดเมื่อ 20/11/2567 16:11:30
พิพิธภัณฑ์งานศิลป์เมืองละกอน วัดปงสนุกเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง » พิพิธภัณฑ์งานศิลป์เมืองละกอน วัดปงสนุกเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง
วัดปงสนุก หรือวัดปงสนุกเหนือ ตั้งอยู่ในเขต ต.เวียงเหนือ อ.เมือง จ.ลำปาง เป็นวัดสำคัญคู่กับจังหวัดลำปางมาช้านาน จากการเก็บรวบรวมงานโบราณวัตถุศิลปวัตถุที่ปรากฎภายในวัดปงสนุกเหนือ โดยพระครูโสภิตขันตยาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดปงสนุกด้านเหนือประมาณ 50 กว่าปีที่ผ่านมา ทำให้งานพุทธศิลป์ต่างๆ ที่ครูบาโนได้สร้างไว้ยังคงถูกเก็บรักษาไว้ภายในวัดปงสนุกเหนือเป็นอย่างดี จนต่อมาพระน้อย นรตฺตโม ผู้ช่วยเจ้าอาวาส และอาจารย์อนุกูล ศิริพันธุ์ คนในชุมชนบ้านปงสนุก ได้เล็งเห็นถึงคุณค่าและความสำคัญของมรดกทางวัฒนธรรมเหล่านี้ จึงได้มีการศึกษาทั้งในรูปแบบลวดลาย การนำไปใช้งานต่างๆ รวมไปถึงประวัติในการสร้างงานพุทธศิลป์ชิ้นนั้นๆ เพื่อนำข้อมูลเหล่านี้มาจัดเป็นระบบฐานข้อมูลมรดกทางวัฒนธรรมที่มีภายในชุมชน และจึงได้พิพิธภัณฑ์งานศิลป์เมืองละกอน วัดปงสนุกเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง โดยแบ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ย่อยอีกมากมาย คือ 1) พิพิธภัณฑ์หีบธรรม 2)พิพิธภัณฑ์พระพุทธรูปไม้ 3)พิพิธภัณฑ์ตุงค่าวธรรม 4)พิพิธภัณฑ์งานพุทธศิลป์และเครื่องใช้ในพิธีกรรม 5)พิพิธภัณฑ์ครูเมืองละกอน และ 6)ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนบ้านปงสนุก เป็นต้น ถือเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลแสดงผลของการศึกษาถึงรูปแบบงานพุทธศิลป์ครูบาโนอันเป็นเอกลักษณ์ทางเทคนิคเชิงช่างที่ปรากฏในนครลำปาง ซึ่งพิพิธภัณฑ์ต่างๆเหล่านี้ ถือเป็นแหล่งข้อมูลด้านงานพุทธศิลป์สำคัญแห่งหนึ่งในจังหวัดลำปาง ทำหน้าที่เผยแพร่องค์ความรู้และมรดกทางวัฒนธรรมสู่สังคมภายนอกเพื่อนำไปใช้เป็นประโยชน์ซึ่งแต่ละพิพิธภัณฑ์ย่อย มีรูปแบบการนำเสนองานพุทธศิลปกรรมที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ต่อผู้เข้าชมเป็นอย่างมาก
คำสำคัญ :
กลุ่มบทความ : บทความการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทั่วไป
หมวดหมู่ : ภาษา วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์
สถิติการเข้าถึง : เปิดอ่าน 4423  ครั้ง | แสดงความคิดเห็น 0  ครั้ง
ผู้เขียน ฐาปกรณ์ เครือระยา  วันที่เขียน 24/7/2559 13:49:10  แก้ไขล่าสุดเมื่อ 20/11/2567 17:38:52
"ซ๊ะป๊ะซ๊ะเป้ด..เล่าเรื่องเมืองเหนือ" » ปอยส่างลองเวียงแหง เอกลักษณ์ชาวไทใหญ่
ปอยส่างลองเป็นประเพณีการบวชสามเณรภาคฤดูร้อนของชาวไทใหญ่ ซึ่งมีการจัดขึ้นในหลายพื้นที่ทางภาคเหนือ โดยอำเภอเวียงแหงก็เป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่มีชาวไทใหญ่อาศัยอยู่และมีวัฒนธรรมที่หลากหลาย "ปอยส่างลอง"ก็เป็นอีกวัฒนธรรมหนึ่งที่มีการจัดขึ้นในช่วงเดือนเมษายนของทุกปี ซึ่งถือได้ว่าเป็นงานสำคัญของคนในชุมชนเวียงแหงเป็นอย่างมาก
คำสำคัญ : คัวตาน  ชาวไทใหญ่  ไทยทาน  บวชลูกแก้ว  ปอยส่างลอง  พิธีอุปสมบท  เวียงแหง  
กลุ่มบทความ : บทความการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทั่วไป
หมวดหมู่ : ภาษา วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์
สถิติการเข้าถึง : เปิดอ่าน 23565  ครั้ง | แสดงความคิดเห็น 0  ครั้ง
ผู้เขียน ปรมินทร์ นาระทะ  วันที่เขียน 25/6/2559 23:43:32  แก้ไขล่าสุดเมื่อ 21/11/2567 15:02:02
การบริการวิชาการสู่ชุมชนด้านการทำนุบำรุงมรดกทางวัฒนธรรม » การบริการวิชาการสู่ชุมชน ว่าด้วยการทำนุบำรุงมรดกทางวัฒนธรรม
การบริการวิชาการสู่ชุมชนด้านการทำนุบำรุงมรดกทางวัฒนธรรมนั้น ผู้จัดทำโครงการต้องมีบทบาทในการอนุรักษ์ซ่อมแซมและสร้างจิตสำนึก ด้วยการเข้ามาทำความรู้จักงานศิลปกรรมภายในชุมชนและมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ศิลปกรรมที่มีในท้องถิ่น ดังโครงการที่ได้จัดทำขึ้นตามชุมชนต่างๆ เช่นการอนุรักษ์และทำทะเบียน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ที่พบภายในชุมชนนั้นๆ ซึ่งต้องอาศัยคนในชุมชนโดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนรุ่นใหม่เข้ามามีบทบาทสำคัญในการอนุรักษ์งานศิลปกรรมดังกล่าว ทั้งนี้ยังเปิดโอกาสให้ผู้อาวุโสภายในชุมชน เข้ามาร่วมวิภาคและแสดงความคิดเห็น รวมทั้งเล่าเกร็ดประวัติศาสตร์ของชุมชน เพื่อได้รับรู้และเข้าใจร่วมกัน อันเป็นการกระบวนการปลุกจิตสำนึกร่วมกับชุมชน นอกจากนี้งานบริการวิชาการยังได้สร้างกลุ่มผู้นำในการอนุรักษ์ศิลปกรรมในท้องถิ่น โดยส่งผลให้เกิดกระบวนการอนุรักษ์ต่อไปได้อย่างมีระบบ โดยอาศัยกลุ่มประธานชุมชน กลุ่มแม่บ้าน และกลุ่มเยาวชน เข้ามามีบทบาทหน้าที่ในการแสดงความสามารถและแสดงความคิดเห็นในการจัดการมรดกทางวัฒนธรรมภายในชุมชน มีสิทธิ เสรีภาพในการจัดกิจกรรมต่างๆ โดยอาศัยแนวทางการปฏิบัติตามที่คณะวิจัยได้เสนอแนะ คือการทำงานร่วมกับชุมชน บทเรียนสำคัญจากการทำงานร่วมกับชุมชนนั้น คือการสร้างความรู้สึกร่วมให้ได้ โดยลำดับแรกของการทำงานนั้น ต้องทำให้คนในชุมชนเห็นคุณค่าและความสำคัญของมรดกทางวัฒนธรรมที่ตนมีให้ได้ โดยอธิบายทั้งในด้านรูปแบบทางศิลปกรรม สถานะภาพในปัจจุบันและการใช้งานในอดีต รวมไปถึงสร้างความรู้สึกรักและหวงแหนในงานศิลปกรรม ว่าชุมชนดังกล่าวเป็นหนึ่งในชุมชนที่มีเพียงไม่กี่แห่ง ที่มีภาพตุงค่าวธรรมชุดนั้น ซึ่งมีความสำคัญมากในทางวิชาการ ต่อจากนั้นจะเป็นกระบวนการสร้างความไว้วางใจระหว่างคนในชุมชน และทีมงานวิจัยว่าที่ผ่านมาได้เข้าไปทำงานในพื้นที่ใดแล้วบ้าง รวมไปถึงแสดงรูปแบบของการทำงานในชุมชนต่างๆ ที่ผ่านมา ให้คนในชุมชนรับรู้และเข้าใจถึงกระบวนการการทำงานทั้งหมด นอกจากนี้การมีพระสงฆ์เข้าเป็นหนึ่งในทีมงานวิจัย สามารถสร้างความเชื่อมั่นในวงการสงฆ์ได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งเมื่อพระสงฆ์ในชุมชนนั้นไว้วางใจแล้ว นั่นหมายถึงความไว้วางใจจากคนในชุมชนนั้นๆด้วย การสร้างสำนึกร่วม ถึงเป็นการกระตุ้นให้ตระหนักถึงคุณค่าและอยากเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลรักษามรดกทางวัฒนธรรมตนเอง ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคนในชุมชนมีส่วนร่วมในการดูแลรักษา ในการทำงานแต่ละครั้ง ทีมนักวิจัยจะให้เกียรติคนในชุมชนในการซ่อมแซมภาพตุงค่าวธรรมด้วยตัวเอง ทั้งนี้ทีมงานจะเป็นผู้แนะนำวิธีการในเบื้องต้น โดยเป็นกระบวนการที่ง่ายไม่สลับซับซ้อน ถือเป็นกระบวนการที่คนในชุมชนคุ้นเคย และสามารถร่วมกับคณะวิจัยในการทำงานได้อย่างมั่นใจ การสร้างสำนึกร่วมดังกล่าว เป็นกระบวนการสำคัญที่สามารถนำไปสู่การรักและหวงแหนมรดกทางวัฒนธรรมตนเองให้กับคนในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี กระบวนการสุดท้ายคือ การสร้างบทบาทหน้าที่ให้คนในชุมชน ถือเป็นกระบวนการที่ไม่ได้เน้นความรู้ทางวิชาการ แต่เน้นให้ทุกคนมีหน้าที่ปฏิบัติ ต่องานงานศิลปกรรมชิ้นนั้นๆ เช่นการจัดเก็บในที่ๆจัดเตรียมไว้ การให้ชาวบ้านช่วยกันถือ เพื่อบันทึกภาพร่วมกัน หรือแม้กระทั่งการขอขมาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ดูแลรักษางานศิลปกรรมชิ้นนั้นๆ ก่อนจะนำถวายคืนให้กลับวัด และจัดเก็บเป็นกระบวนการสุดท้าย จากประสบการณ์และแนวทางการบริการวิชาการสู่ชุมชนเบื่องต้นนี้ เป็นเพียงกระบวนการและวิธีการหนึ่งเท่านั้น ที่เป็นผลจากการเรียนรู้ร่วมกับคนในชุมชน ในการเข้าไปจัดการทั้งองค์ความรู้ จัดการมรดกทางวัฒนธรรม และการจัดการคนในชุมชน ซึ่งแต่ละชุมชนล้วนแล้วแต่มีบริบททางสังคมที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งองค์ความรู้หรือแนวทางดังกล่าวอาจจะสามารถนำไปปรับใช้ในกระบวนการบริการวิชาการสู่ชุมชนต่างๆได้ ต่อไป
คำสำคัญ : บริการวิชาการ  มรดกทางวัฒนธรรม  
กลุ่มบทความ : บทความการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทั่วไป
หมวดหมู่ : ภาษา วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์
สถิติการเข้าถึง : เปิดอ่าน 3900  ครั้ง | แสดงความคิดเห็น 0  ครั้ง
ผู้เขียน ฐาปกรณ์ เครือระยา  วันที่เขียน 21/6/2559 10:46:40  แก้ไขล่าสุดเมื่อ 20/11/2567 20:46:16
เรื่องนี้ต้องแบ่งปัน » สวัสดี(ซินจ่าว)...เวียดนาม
กว่าจะมาเป็นเวียดนามในวันนี้ เส้นทางในอดีตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ...เหมือนดินแดนในฝันของบางประเทศ โดยบทความเรื่องนี้ได้รับการตีพิมพ์ลงในวารสารแม่โจ้ปริทัศน์ ฉบับที่ 3 ปีที่ 15 เดือนพฤษภาคม - มิถุนายน 2557 (หน้า 74 - 78)
คำสำคัญ : เวียดกง  เวียดนาม  เวียดมินห์  อุโมงค์กู๋จี  โฮจิมินห์  
กลุ่มบทความ : บทความการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทั่วไป
หมวดหมู่ : ภาษา วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์
สถิติการเข้าถึง : เปิดอ่าน 3970  ครั้ง | แสดงความคิดเห็น 0  ครั้ง
ผู้เขียน ปาณิศา วงค์ใส  วันที่เขียน 4/8/2557 15:28:35  แก้ไขล่าสุดเมื่อ 20/11/2567 17:10:38
เรื่องนี้ต้องแบ่งปัน » เสน่ห์ของภาษาลาว
แต่ละชนชาติย่อมมีวัฒนธรรมเป็นของตนเอง ภาษาที่ใช้ประจำชาติช่วยบ่งบอกเอกลักษณ์ของชนเชื้อชาตินั้น ภาษาลาวเป็นอีกหนึ่งภาษาที่มีเสน่ห์อยู่ในตัวเอง
คำสำคัญ : ภาษาไทย  ภาษาลาว  
กลุ่มบทความ : บทความการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทั่วไป
หมวดหมู่ : ภาษา วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์
สถิติการเข้าถึง : เปิดอ่าน 9809  ครั้ง | แสดงความคิดเห็น 0  ครั้ง
ผู้เขียน ปาณิศา วงค์ใส  วันที่เขียน 20/2/2557 20:24:49  แก้ไขล่าสุดเมื่อ 20/11/2567 20:45:12
รวมบทความ เกี่ยวกับภาษาจีน » ว่าด้วยเรื่อง การถามข้อมูลส่วนตัว (๑)
ถามที่มา --บอกสัญชาติ
คำสำคัญ :
กลุ่มบทความ : บทความการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทั่วไป
หมวดหมู่ : ภาษา วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์
สถิติการเข้าถึง : เปิดอ่าน 44037  ครั้ง | แสดงความคิดเห็น 6  ครั้ง
ผู้เขียน สุวรรณ เลียงหิรัญถาวร  วันที่เขียน 1/2/2554 14:33:37  แก้ไขล่าสุดเมื่อ 21/11/2567 15:34:45
รวมบทความ เกี่ยวกับภาษาจีน » ว่าด้วยเรื่อง ชื่อเสียงเรียงนามแบบจีน
..ชื่อ - แซ่..
คำสำคัญ :
กลุ่มบทความ : บทความการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทั่วไป
หมวดหมู่ : ภาษา วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์
สถิติการเข้าถึง : เปิดอ่าน 50951  ครั้ง | แสดงความคิดเห็น 2  ครั้ง
ผู้เขียน สุวรรณ เลียงหิรัญถาวร  วันที่เขียน 27/1/2554 20:35:20  แก้ไขล่าสุดเมื่อ 21/11/2567 15:34:39
รวมบทความ เกี่ยวกับภาษาจีน » สวัสดี หนีห่าว!
..ทักทายกันแบบจีน..
คำสำคัญ :
กลุ่มบทความ : บทความการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทั่วไป
หมวดหมู่ : ภาษา วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์
สถิติการเข้าถึง : เปิดอ่าน 68385  ครั้ง | แสดงความคิดเห็น 5  ครั้ง
ผู้เขียน สุวรรณ เลียงหิรัญถาวร  วันที่เขียน 27/1/2554 7:24:20  แก้ไขล่าสุดเมื่อ 21/11/2567 15:48:24