ในประการแรกต้องทำความเข้าใจถึงวัตถุประสงค์ของการขอรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์สากลว่ามีขึ้นเพื่อคุ้มครองทั้งผู้บริโภคและผู้ผลิต (เกษตรกร) โดยผู้บริโภคต้องการสินค้าที่มีคุณภาพดีและมีการผลิตที่เป็นมิตรต่อส่งแวดล้อม และในส่วนของผู้ผลิตคือเกษตรกรต้องปฏิบัติตามมาตรฐานที่กำหนดไว้เพื่อที่จะสามารถขายสินค้าได้ ซึ่งการรับรองคุณภาพผลผลิตทางการเกษตรที่ผลิตขึ้นตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์สากลมีข้อกำหนดพื้นฐานคร่าวๆ ดังต่อไปนี้
- ห้ามไม่ให้มีการใช้สารเคมีสังเคราะห์ใดๆ : หลักการของเกษตรอินทรีย์คือการพึ่งตนเองและความอุดมสมบูรณ์นั้นต้องหมุนเวียนมาจากไร่นาของตนเอง เช่นการใช้ปุ๋ยหมักจากมูลสัตว์และพืช ตลอดจนการปลูกพืชหมุนเวียน
- ห้ามไม่ให้มีการใช้สารกำจัดศัตรูพืชใดๆ เช่นสารกำจัดวัชพืช ยาฆ่าแมลง สารกำจัดโรคพืชเป็นต้น โดยมีข้อยกเว้นในกรณีของผลิตภัณฑ์ไล่แมลงและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติบางชนิด เช่น สะเดา
- สร้างความหลากหลายโดยการปลูกพืชหมุนเวียนหรือการปลูกพืชร่วม (ไม่ใช่พืชเชิงเดี่ยว) : หลีกเลี่ยงการเผาและพิจารณาถึงประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมอื่นๆ เช่นห้ามทิ้งขยะเรี่ยราด ห้ามทำลายพื้นที่หน้าดิน และห้ามทำลายป่าอนุรักษ์ เป็นต้น
- ให้ใช้เมล็ดพันธ์อินทรีย์โดยการเก็บเมล็ดพันธ์เอง หรือนำเมล็ดมาจากกลุ่มเกษตรกรอินทรีย์
- ป้องกันการปนเปื้อน เช่น สารเคมีที่มาจากการพ่นจากแปลงข้างเคียง หากแปลงข้างเคียงมีการใช้สารเคมี ยังสามารถทำเกษตรอินทรีย์ได้ แต่ต้องมีวิธีป้องกันไม่ให้มีการปนเปื้อนจากการใช้สารเคมีของที่นาใกล้เคียง
- ปรับเปลี่ยนแปลงนาที่มีทั้งหมดให้เป็นนาอินทรีย์ ห้ามไม่ให้มีการผลิตแบบคู่ขนาน โดยเกษตรกรรายเดียวกันไม่สามารถปลูกพืชชนิดเดียวกันทั้งที่เป็นอินทรีย์และไม่เป็นอินทรีย์ แม้ว่าแปลงการผลิตจะเป็นคนละแปลงก็ตาม
- ก่อนจำหน่ายผลผลิตอินทรีย์ได้นั้น จะต้องผ่านระยะปรับเปลี่ยนเป็นเวลาสามปี
- การแยกผลผลิตและการแสดงฉลาก : การเก็บผลผลิตอินทรีย์จะต้องแยกจากผลผลิตสถานภาพอื่นในทุกระยะ เริ่มตั้งแต่การเก็บเกี่ยว ตากและจัดเก็บ ต้องมีการแสดงฉลากและสัญลักษณ์ผลผลิตอินทรีย์ในระหว่างการจัดเก็บและขนส่งทุกครั้ง โดยฉลากและสัญลักษณ์ต้องระบุแหล่งที่มา (เช่น ชื่อ รหัสเกษตรกร รหัสแปลง) สถานภาพ (เช่นอินทรีย์หรือปรับเปลี่ยน) และผู้ให้การรับรอง
- การบันทึกและจัดเก็บเอกสาร : มาตรฐานกำหนดให้เกษตรกรต้องทำบันทึกฟาร์มและการผลิต โดยบันทึกอาจเป็นรูปแบบอย่างง่าย เหมาะสมต่อการใช้งานของเกษตรกร แต่จำเป็นต้องบันทึกเหตุการณ์ในปัจจุบันและบันทึกอย่างสม่ำเสมอ ตลอดจนเก็บรักษาไว้เพื่อการตรวจสอบทั้งจากภายในและภายนอก
10.ข้อตกลงและการให้ความร่วมมือกับกาตรวจสอบภายในและภายนอก
ในปัจจุบันหลายประเทศได้กำหนดมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ให้เป็นภาคบังคับทางกฎหมาย เช่น EC834/2007 (สหภาพยุโรป) NOP/USDA (ประเทศสหรัฐอเมริกา) Canada Organic Productions Regulation SOR/2009-176 (ประเทศแคนาดา) เป็นต้น แม้ว่ามาตรฐานของแต่ละประเทศจะมีความแตกต่างกันในรายละเอียด แต่โดยภาพรวมจะมีความคล้ายคลึงกันและอ้างอิงตามการนิยาม “เกษตรอินทรีย์” ที่กำหนดขึ้นโดยกลุ่มเคลื่อนไหวด้านเกษตรอินทรีย์ที่ประกอบด้วยผู้ผลิตและผู้เกี่ยวข้องจากทั่วโลกในนามสหพันธ์เกษตรอินทรีย์นานาชาติ หรือ IFOAM นั่นเอง
ตลาดเกษตรอินทรีย์มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วอย่างต่อเนื่องโดยตลาดใหญ่ที่สุดคือสหรัฐอเมริกา โดยคิดเป็น 46% ของส่วนแบ่งตลาดทั้งหมด รองลงมาคือเยอรมัน ฝรั่งเศส ในส่วนของทวีปเอเชียคือประเทศจีนโดยคิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 7% (ที่มา FiBL-AMI, 2018) หากเกษตรกรไทยต้องการส่งสินค้าอินทรีย์ออกไปยังประเทศคู่ค้าใด จะต้องทำการขอรับรองมาตรฐานของประเทศนั้นๆ ยกตัวอย่างเช่นหากได้รับการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ของสหรัฐอเมริกา จะไม่สามารถใช้ได้กับมาตรฐานของยุโรป ดังนั้นผู้ผลิตจึงต้องมีการรับรองมาตรฐานให้ตรงกับประเทศที่ต้องการจะส่งสินค้าไปจำหน่าย โดยปกติการขอรับรองมาตรฐานยุโรปและสหรัฐอเมริกาจะสามารถทำพร้อมกันได้ เนื่องจากข้อกำหนดเกี่ยวกับการดำเนินงานสอดคล้องกัน
โดยภาพรวมนอกจากการทำเกษตรอินทรีย์จะส่งผลดีต่อผู้ผลิตโดยตรง เนื่องจากไม่ต้องสัมผัสสารเคมีที่เป็นอันตราย รวมทั้งยังเป็นการส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนด้วยหลักการเกษตรกรรมที่เป็นมิตรต่อส่งแวดล้อมแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมการส่งออกและเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรอีกด้วย ดังนั้นจึงควรส่งเสริมให้ผู้ผลิตทำการเพาะปลูกแบบอินทรีย์