องค์ความรู้ความปลอดภัยทางชีวภาพและการรักษาความปลอดภัยทางชีวภาพ
(Biosafety and Biosecurity) สู่การปฏิบัติงานในห้องปฏิบัติการอย่างปลอดภัย
การทำงานที่เกี่ยวข้องกับเชื้อโรค สารชีวภาพ และพิษจากสัตว์ จำเป็นต้องอาศัยระบบการจัดการด้านความปลอดภัยที่เข้มงวด เพื่อป้องกันอันตรายต่อผู้ปฏิบัติงาน ประชาชน สิ่งแวดล้อม รวมถึงป้องกันการนำเชื้อไปใช้ในทางที่ผิด บทความนี้สรุปสาระสำคัญด้าน Biosafety และ Biosecurity เพื่อใช้เป็นองค์ความรู้สำหรับการทำงานในห้องปฏิบัติการอย่างปลอดภัยและถูกต้องตามกฎหมาย
1. กฎหมายเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ พ.ศ. 2558
พระราชบัญญัติเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ พ.ศ. 2558 เป็นกฎหมายหลักที่ใช้กำกับดูแลการครอบครอง การใช้ การผลิต การเก็บรักษา และการขนส่งเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการใช้เชื้อในทางที่ผิด และลดความเสี่ยงต่อผู้ปฏิบัติงาน ประชาชน ชุมชน และสิ่งแวดล้อม กฎหมายกำหนดให้มีการจัดกลุ่มเชื้อโรคตามระดับความเสี่ยง (Risk Group: RG1–RG4) และการจัดกลุ่มพิษจากสัตว์ตามความรุนแรง 3 กลุ่ม เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการแจ้งหรือขออนุญาตก่อนดำเนินงาน ตลอดจนกำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบของบุคลากรที่เกี่ยวข้องอย่างชัดเจน
- ชื้อโรค คือ เชื้อจุลินทรีย์ สารชีวภาพ และอนุภาคโปรตีนก่อโรค (Prion) แบ่งเชื้อโรคเป็น 4 กลุ่ม ตามระดับความเสี่ยง RG1–RG4 โดย RG1: เสี่ยงต่ำ RG2: เสี่ยงปานกลาง RG3: เสี่ยงสูง และ RG4: เสี่ยงสูงมาก โดยพิจารณาจากปริมาณเชื้อ การแพร่กระจาย และวิธีป้องกันวิธีรักษา
- พิษจากสัตว์ คือสารพิษจากสัตว์ที่ทำให้เกิดอันตรายต่อคนหรือสัตว์ แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ตามความรุนแรง กลุ่ม 1: ไม่ร้ายแรง มีวิธีรักษา กลุ่ม 2: ร้ายแรง แต่ยังรักษาได้ และกลุ่ม 3: ร้ายแรง และไม่มีวิธีรักษาที่ได้ผล
2. แนวคิดด้าน Biosafety และ Biosecurity
ความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosafety) เป็นมาตรการที่มุ่งเน้นการป้องกันการติดเชื้อโดยไม่ตั้งใจ และการป้องกันการรั่วไหลของเชื้อออกสู่สิ่งแวดล้อม โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงาน ผู้ร่วมงาน และสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ ในขณะที่การรักษาความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity) มุ่งเน้นการป้องกันการสูญหาย การขโมย หรือการนำเชื้อโรคและสารชีวภาพไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม ทั้งสองแนวคิดมีความแตกต่างกันแต่ต้องดำเนินควบคู่กันเพื่อให้เกิดความปลอดภัยอย่างรอบด้าน
3. การจัดการความเสี่ยงทางชีวภาพ (Biorisk Management)
การจัดการความเสี่ยงทางชีวภาพเป็นกระบวนการสำคัญในการทำงานกับเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เกิดความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosafety) การรักษาความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity) และการควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อ (Biocontainment)
กระบวนการจัดการความเสี่ยงทางชีวภาพ ประกอบด้วย 3 ขั้นตอนหลัก ได้แก่
1.การประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment) คือกระบวนการระบุความเสี่ยง การวิเคราะห์ความเสี่ยงและจัดลําดับความเสี่ยง โดยพิจารณา
- โอกาสที่จะเกิด (Likelihood) หมายถึง ความถี่หรือโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์หรือความเสี่ยง
- ผลกระทบ (Impact) หมายถึง ขนาดความรุนแรงของความเสียหายที่จะเกิดขึ้นหากเกิด เยียวยาได้มากน้อยแค่ไหน
- ระดับของความเสี่ยง (Degree of Risk) หมายถึง สถานะของความเสี่ยงที่ได้จากประเมินโอกาสและผลกระทบของแต่ละปัจจัยเสี่ยงแบ่งเป็นระดับ
2.การควบคุมหรือบรรเทาความเสี่ยง (Risk Mitigation)
3.การติดตาม ตรวจสอบ และปรับปรุงมาตรการอย่างต่อเนื่อง
การประเมินความเสี่ยงต้องดำเนินการ ก่อนเริ่มงาน และทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงเชื้อ วิธีการทำงาน โครงการ บุคลากร อุปกรณ์ หรือสถานที่ ปรับปรุงระบบ เป็นต้น โดยผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการประเมิน ได้แก่หัวหน้าโครงการ/หัวหน้าห้องปฏิบัติการ ผู้ดําเนินการ และ ผู้ปฏิบัติงานทุกคน
4. การปฏิบัติงานในห้องปฏิบัติการอย่างปลอดภัย
ระดับห้องปฏิบัติการ (Biosafety level; BSL)
ห้องปฏิบัติการชีวภาพถูกแบ่งตามระดับความปลอดภัย (Biosafety level) เป็น BSL-1 ถึง BSL-4 ให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงของเชื้อที่ใช้งาน ยิ่งเชื้ออันตราย ยิ่งต้องมีการควบคุมเข้มงวดขึ้น
- BSL-1: เชื้อเสี่ยงต่ำ เป็นระดับความปลอดภัยพื้นฐาน ใช้ทํางานกับเชื้อโรคกลุ่มที่ 1 ที่ไม่ก่อโรคในคนหรือสัตว์ หรือพืช หรือเชื้อโรคที่มีความเสี่ยงน้อยหรืออันตรายน้อย ปฏิบัติงานตามมาตรฐานการปฏิบัติงานด้านจุลชีววิทยา
- BSL-2: เชื้อเสี่ยงปานกลาง ใช้ทํางานกับเชื้อโรคกลุ่มที่ 2 ที่ทําให้เกิดโรคในคนและสัตว์หรือเชื้อโรคที่มีความเสี่ยงปานกลางหรืออันตรายปานกลางและไม่สามารถกระจายในอากาศ พิษจากสัตว์ทุกกลุ่ม และสารชีวภาพทุกกลุ่ม
- BSL-3: เชื้อเสี่ยงสูง ใช้ทํางานกับเชื้อโรคกลุ่มที่ 3 ที่ทําให้เกิดโรคร้ายแรงในคนและสัตว์หรือเชื้อโรคกลุ่มที่ 2 ที่มีโอกาสแพร่กระจายทางอากาศ หรือเชื้อโรคที่มีความเสี่ยงสูงหรืออันตรายสูง ผู้รับผิดชอบต้องประเมินความเสี่ยง และบริหารจัดการให้เหมาะสม
- BSL-4: เชื้ออันตรายสูงมาก ใช้ทํางานกับเชื้อโรคกลุ่มที่ 4 ที่ทําให้เกิดโรคร้ายแรงมากในคนและสัตว์ ไม่มียารักษา หรือเชื้อโรคที่มีความเสี่ยงสูงมากหรืออันตรายสูงมาก ผู้รับผิดชอบต้องประเมินความเสี่ยง และบริหารจัดการให้เหมาะสม โครงการต้องผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ก่อนการดําเนินงาน ปัจจุบันประเทศไทยไม่มีห้องปฏิบัติการระดับนี้
การทำงานในห้องปฏิบัติการชีวภาพต้องดำเนินการให้เหมาะสมกับระดับความปลอดภัยของห้องปฏิบัติการ (BSL-1 ถึง BSL-4) ควบคู่กับการยึดหลัก Good Microbiological Practice มีขั้นตอนปฏิบัติงานมาตรฐาน (Standard Operating Procedure: SOP) ที่ชัดเจน มีการบันทึกข้อมูลอย่างครบถ้วน และ มีระบบรายงานอุบัติเหตุหรือเหตุผิดปกติอย่างเป็นระบบ
อุปกรณ์ปกป้องส่วนบุคคล (Personal Protective Equipment: PPE)
PPE เป็นอุปกรณ์ป้องกันอันตรายระหว่างผู้ปฏิบัติงานกับงาน ถือเป็นด่านสุดท้ายของการป้องกันอันตราย จึงต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมกับชนิดเชื้อ ผ่านมาตรฐาน และมี SOP สำหรับการสวมใส่ ถอด และกำจัดอย่างถูกต้อง ข้อจำกัดของ PPE คือ ไม่ลดอันตรายที่ต้นเหตุ หากใช้ผิดหรือชำรุดจะทำให้เกิดความเสี่ยงทันที ประเภท PPE มีดังนี้
- ป้องกันดวงตา/ใบหน้า เช่น goggles, face shield
- ป้องกันระบบหายใจ เช่น หน้ากาก, N95
- ป้องกันร่างกาย เช่น เสื้อกาวน์, ชุดป้องกัน
- ป้องกันมือ/เท้า เช่น ถุงมือ, รองเท้านิรภัย
นอกจากนี้ การเลือกใช้อุปกรณ์ความปลอดภัย เช่น ตู้ชีวนิรภัย (Biological Safety Cabinet: BSC) ต้องสอดคล้องกับลักษณะงาน เนื่องจากเป็นอุปกรณ์หลักในการควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อในห้องปฏิบัติการ และควรเลือกใช้ให้ถูกต้องตามลักษณะงาน
- Chemical Fume Hood ใช้สำหรับสารเคมี ไม่เหมาะกับงานเชื้อ ป้องกันผู้ปฏิบัติงานจาก ไอสารเคมี/ สารระเหย/สารไวไฟ
- Laminar Flow Clean Bench ป้องกันชิ้นงาน จากฝุ่นและจุลชีพแต่ไม่ป้องกันผู้ปฏิบัติงานและสิ่งแวดล้อม เหมาะกับงานปลอดเชื้อที่ ไม่มีความเสี่ยงทางชีวภาพ แบ่งเป็นแนวลมแนวตั้ง / แนวนอน
- Biological Safety Cabinet (BSC) ออกแบบมาเพื่อควบคุมเชื้อโดยเฉพาะ ป้องกันทั้งผู้ปฏิบัติงาน ชิ้นงาน และสิ่งแวดล้อม โดยมีระบบกรอง HEPA เป็นหัวใจสำคัญ ประเภทของ BSC แบ่งเป็น 3 Class ดังนี้
- Class I: ป้องกันผู้ปฏิบัติงาน และสิ่งแวดล้อม (ไม่ป้องกันชิ้นงาน)
- Class II (A1, A2, B1, B2, C1): ป้องกันครบทั้ง 3 ด้าน (ใช้มากที่สุด)
- Class III: ปิดสนิท ใช้กับเชื้อรุนแรงมาก (BSL-4)
5. การทำลายเชื้อ การขนส่ง และการจัดการขยะติดเชื้อ
การทำลายเชื้อ
การทำงานที่เกี่ยวข้องกับเชื้อจุลชีพจำเป็นต้องมีมาตรการด้านความปลอดภัยทางชีวภาพที่เหมาะสม โดยเฉพาะการจัดการวัสดุ อุปกรณ์ และของเสียที่มีการปนเปื้อนเชื้อโรค การทำลายเชื้ออย่างถูกต้องจึงเป็นหัวใจสำคัญในการลดความเสี่ยงต่อผู้ปฏิบัติงาน สิ่งแวดล้อม และสาธารณชน บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสรุปแนวคิดและวิธีการทำลายเชื้อโรคที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริงในห้องปฏิบัติการ
การทำลายเชื้อโรคสามารถแบ่งออกเป็น 3 ระดับหลัก ได้แก่
- Decontamination เป็นกระบวนการลดหรือขจัดความเป็นอันตรายจากวัสดุหรืออุปกรณ์ที่มีการปนเปื้อนเชื้อ เพื่อให้สามารถจัดการต่อไปได้อย่างปลอดภัย
- Disinfection เป็นการลดจำนวนเชื้อจุลชีพให้อยู่ในระดับที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ มักใช้กับอุปกรณ์ เครื่องมือ หรือพื้นผิว แต่ไม่สามารถทำลายสปอร์ของเชื้อได้ทั้งหมด
- Sterilization เป็นกระบวนการทำลายเชื้อจุลชีพทุกชนิด รวมถึงสปอร์ของเชื้อ เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความปลอดเชื้ออย่างสมบูรณ์
การเลือกใช้กระบวนการที่เหมาะสมควรพิจารณาจากชนิดของเชื้อ ระดับความเสี่ยง และลักษณะของงานที่ปฏิบัติ
ปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพของการทำลายเชื้อ
ประสิทธิภาพของการทำลายเชื้อขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ได้แก่ ชนิดและความทนทานของเชื้อ ปริมาณเชื้อ วัสดุที่ปนเปื้อน การมีสารอินทรีย์ปะปน ชนิดและความเข้มข้นของสารฆ่าเชื้อ ระยะเวลาในการสัมผัส รวมถึงอุณหภูมิและปัจจัยทางกายภาพหรือเคมีอื่น ๆ การควบคุมปัจจัยเหล่านี้อย่างเหมาะสมจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน
วิธีการทำลายเชื้อที่ใช้ในห้องปฏิบัติการ
วิธีทางกายภาพเป็นวิธีที่นิยมใช้ในห้องปฏิบัติการ เนื่องจากมีประสิทธิภาพสูงและสามารถควบคุมได้ โดยเฉพาะ หม้อนึ่งความดันไอน้ำ (Autoclave) ซึ่งสามารถทำลายเชื้อได้ทุกชนิดรวมถึงสปอร์ของเชื้อ และถือเป็นวิธีที่เชื่อถือได้มากที่สุด การใช้ความร้อนแห้งและการต้มน้ำเดือดเหมาะสำหรับอุปกรณ์บางประเภทที่ไม่ต้องการความปลอดเชื้อระดับสูงสุด ส่วนการกรองเหมาะสำหรับของเหลวหรือสารละลายที่ไม่สามารถใช้ความร้อนได้
การใช้รังสี เช่น รังสีแกมมา และรังสีอัลตราไวโอเลต เหมาะสำหรับวัสดุหรือพื้นที่ที่มีข้อจำกัดด้านความร้อน อย่างไรก็ตาม ต้องควบคุมการใช้งานอย่างเหมาะสมเพื่อความปลอดภัย
การทำลายเชื้อด้วยสารเคมีเป็นวิธีที่สะดวกและนำไปใช้ได้ง่าย แอลกอฮอล์ที่ความเข้มข้น 70% นิยมใช้สำหรับทำความสะอาดพื้นผิวและอุปกรณ์ขนาดเล็ก Sodium hypochlorite มีประสิทธิภาพสูงในการฆ่าเชื้อ แต่ควรใช้อย่างระมัดระวังเนื่องจากมีฤทธิ์กัดกร่อน ส่วน Ethylene oxide เหมาะสำหรับอุปกรณ์ที่ไม่ทนต่อความร้อน ขณะที่การย่อยด้วยด่างนิยมใช้ในการทำลายซากสัตว์ทดลองหรือวัสดุชีวภาพที่มีความเสี่ยงสูง
แนวทางการนำไปใช้ในงานห้องปฏิบัติการการนำกระบวนการทำลายเชื้อไปใช้ควรเริ่มจากการประเมินความเสี่ยงของเชื้อและกิจกรรมที่ปฏิบัติ เลือกวิธีการทำลายเชื้อให้เหมาะสมกับชนิดของวัสดุและระดับความปลอดภัยที่ต้องการ ปฏิบัติตามแนวปฏิบัติและมาตรฐานที่กำหนดอย่างเคร่งครัด รวมถึงตรวจสอบและบำรุงรักษาอุปกรณ์อย่างสม่ำเสมอ
การขนส่งเชื้อโรค
การขนส่งเชื้อโรคและตัวอย่างชีวภาพเป็นการเคลื่อนย้ายเชื้อ ตัวอย่าง หรือพิษจากสัตว์ ทั้งภายในและนอกสถานที่ ที่จะต้องเป็นไปตามข้อกำหนดของกฎหมายควบคุม ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องการขนส่ง การส่งมอบและการทำให้สิ้นสภาพเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ พ.ศ.2561 และประกาศกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เรื่องคุณสมบัติของหีบห่อชั้นนอกสำหรับการขนส่งเชื้อโรคกลุ่ม 2 และตัวอย่าง พ.ศ.2562 โดยจะควบคุมตามกลุ่มของเชื้อโรค
ระบบการบรรจุ 3 ชั้น (Triple Packaging) ชั้นใน: ใส่ตัวอย่าง (ปิดสนิท) ชั้นกลาง: กันแตกและวัสดุดูดซับ ชั้นนอก: แข็งแรง มีฉลากและสัญลักษณ์ Biohazard โดยจะต้องมีการและผ่านการทดสอบการตก การเจาะ และแรงดันก่อนการขนส่งเชื้อ
ภาชนะบรรจุเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข:
- เชื้อโรคกลุ่ม 1: ความเสี่ยงต่ำ ไม่บังคับ แต่ให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขตามประกาศ
- เชื้อโรคกลุ่ม 2: ต้องมีภาชนะชั้นใน ภาชนะชั้นกลาง (ไม่บังคับกรณีขนส่งภายในอาคาร) และภาชนะชั้นนอกที่มีคุณสมบัติตามที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ประกาศกำหนด
- เชื้อโรคกลุ่ม 3-4: ต้องมีภาชนะชั้นใน ภาชนะชั้นกลาง และภาชนะชั้นนอกที่มีเครื่องหมายรับรองบรรจุภัณฑ์ที่ผ่านการทดสอบคุณสมบัติตามข้อเสนอของสหประชาชาติ
- พิษจากสัตว์ทุกกลุ่ม : ต้องมีบรรจุในภาชนะอย่างน้อย 2 ชั้น
การแสดงรายละเอียดเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ตามประกาศ:
- เชื้อโรคกลุ่ม 1: ชื่อ (ไทย/อังกฤษ) วันเดือนปีที่ผลิต/บรรจุหรือติดบาร์โค้ด ชื่อที่อยู่ของผู้ผลิต
- เชื้อโรคกลุ่ม 2-4 และพิษจากสัตว์ทุกกลุ่ม: ชื่อวิทยาศาสตร์ (อังกฤษ) หรือรหัส วันเดือนปีที่ผลิต/บรรจุ หรือติดบาร์โค้ด
การขนส่งเชื้อโรค: ผู้ขับขี่ต้องมีใบอนุญาตเฉพาะห้ามใช้รถส่วนบุคคล ในกรณีเป็นการขนส่งระหว่างประเทศ ต้องตรวจเงื่อนไขประเทศปลายทาง
การจัดการขยะติดเชื้อ:
การจัดการขยะติดเชื้อจำเป็นต้องแยกตั้งแต่ต้นทาง ใช้ภาชนะเฉพาะ ฆ่าเชื้อก่อนกำจัด และดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ได้แก่ พ.ร.บ. การสาธารณสุข กฎกระทรวงมูลฝอยติดเชื้อ และ พ.ร.บ. เชื้อโรคและพิษจากสัตว์ โดยประเภทขยะในสถานปฏิบัติการ ได้แก่ ขยะทั่วไป ขยะติดเชื้อ ขยะมีคม ขยะเคมี ขยะรังสี และซากสัตว์ โดยมีหลักการจัดการขยะติดเชื้อ ดังนี้
- แยกตั้งแต่ต้นทาง
- ใช้ภาชนะเฉพาะ (ถุงแดง / กล่องของมีคม)
- เก็บในพื้นที่ควบคุม
- ฆ่าเชื้อก่อนกำจัด
- ขนส่งและกำจัดตามกฎหมาย
6. การจัดการเหตุสารชีวภาพรั่วไหล
การเตรียมความพร้อมในการรับมือเหตุฉุกเฉินเป็นส่วนสำคัญของระบบความปลอดภัย ห้องปฏิบัติการต้องมีแผนและขั้นตอนปฏิบัติที่ชัดเจน รวมถึงมีชุดอุปกรณ์สำหรับจัดการสารชีวภาพรั่วไหล โดยยึดหลักการจำกัดพื้นที่ ลดการปนเปื้อน และทำความสะอาดอย่างเป็นระบบ พร้อมทั้งรายงานเหตุการณ์ต่อผู้รับผิดชอบและดูแลผู้ที่อาจสัมผัสเชื้ออย่างเหมาะสม การจัดการฉุกเฉินกรณีสารรั่วไหลนั้นต้องรู้จักการประเมินสถานการณ์ ความเป็นอันตรายอยู่ในระดับใด
- Minor spill: ปริมาณน้อย ความเสี่ยงต่ำ
- Major spill: ปริมาณมาก ฟุ้งกระจาย ระบุเชื้อไม่ได้
ชุดอุปกรณ์สำหรับจัดการสารชีวภาพรั่วไหล (Biological Spill Kit) ประกอบด้วย PPE วัสดุดูดซับ น้ำยาฆ่าเชื้อ อุปกรณ์เก็บเศษ ถุงขยะติดเชื้อ ป้ายเตือน โดยมีขั้นตอนปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุ ดังนี้
- แจ้งเตือน → ปิดกั้นพื้นที่ → รอ aerosol ตก
- ใส่ PPE → ทำความสะอาดตาม SOP
- รายงานหัวหน้างานและ biosafety officer
- หากสัมผัสเชื้อ → ล้าง ทำแผล พบแพทย์
บทสรุป
ความปลอดภัยทางชีวภาพและการรักษาความปลอดภัยทางชีวภาพเป็นพื้นฐานสำคัญของการดำเนินงานด้านชีวภาพในสถาบันการศึกษาและหน่วยงานวิจัย การมีความรู้ ความเข้าใจ และการปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด จะช่วยลดความเสี่ยง สร้างความปลอดภัย และส่งเสริมการดำเนินงานด้านการเรียนการสอนและการวิจัยให้มีคุณภาพและยั่งยืน