องค์ความรู้ความปลอดภัยทางชีวภาพและการรักษาความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosafety and Biosecurity) สู่การปฏิบัติงานในห้องปฏิบัติการอย่างปลอดภัย
วันที่เขียน 24/12/2568 18:51:44     แก้ไขล่าสุดเมื่อ 25/12/2568 14:34:01
เปิดอ่าน: 10 ครั้ง

การดำเนินงานด้านการเรียนการสอน การวิจัย และการบริการวิชาการที่เกี่ยวข้องกับเชื้อโรค สารชีวภาพ และพิษจากสัตว์ จำเป็นต้องอาศัยความรู้และความเข้าใจด้านความปลอดภัยทางชีวภาพและการรักษาความปลอดภัยทางชีวภาพอย่างถูกต้อง เพื่อป้องกันอันตรายต่อผู้ปฏิบัติงาน นักศึกษา ประชาชน และสิ่งแวดล้อม รวมถึงป้องกันการนำเชื้อไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม การอบรมด้าน Biosafety และ Biosecurity จึงเป็นกลไกสำคัญในการสร้างความตระหนักรู้และยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของหน่วยงาน

 

องค์ความรู้ความปลอดภัยทางชีวภาพและการรักษาความปลอดภัยทางชีวภาพ

(Biosafety and Biosecurity) สู่การปฏิบัติงานในห้องปฏิบัติการอย่างปลอดภัย

 

      การทำงานที่เกี่ยวข้องกับเชื้อโรค สารชีวภาพ และพิษจากสัตว์ จำเป็นต้องอาศัยระบบการจัดการด้านความปลอดภัยที่เข้มงวด เพื่อป้องกันอันตรายต่อผู้ปฏิบัติงาน ประชาชน สิ่งแวดล้อม รวมถึงป้องกันการนำเชื้อไปใช้ในทางที่ผิด บทความนี้สรุปสาระสำคัญด้าน Biosafety และ Biosecurity เพื่อใช้เป็นองค์ความรู้สำหรับการทำงานในห้องปฏิบัติการอย่างปลอดภัยและถูกต้องตามกฎหมาย

 

1. กฎหมายเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ พ.ศ. 2558

      พระราชบัญญัติเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ พ.ศ. 2558 เป็นกฎหมายหลักที่ใช้กำกับดูแลการครอบครอง การใช้ การผลิต การเก็บรักษา และการขนส่งเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการใช้เชื้อในทางที่ผิด และลดความเสี่ยงต่อผู้ปฏิบัติงาน ประชาชน ชุมชน และสิ่งแวดล้อม กฎหมายกำหนดให้มีการจัดกลุ่มเชื้อโรคตามระดับความเสี่ยง (Risk Group: RG1–RG4) และการจัดกลุ่มพิษจากสัตว์ตามความรุนแรง           3 กลุ่ม เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการแจ้งหรือขออนุญาตก่อนดำเนินงาน ตลอดจนกำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบของบุคลากรที่เกี่ยวข้องอย่างชัดเจน

  • ชื้อโรค คือ เชื้อจุลินทรีย์ สารชีวภาพ และอนุภาคโปรตีนก่อโรค (Prion) แบ่งเชื้อโรคเป็น 4 กลุ่ม ตามระดับความเสี่ยง RG1–RG4 โดย RG1: เสี่ยงต่ำ RG2: เสี่ยงปานกลาง RG3: เสี่ยงสูง และ RG4: เสี่ยงสูงมาก โดยพิจารณาจากปริมาณเชื้อ การแพร่กระจาย และวิธีป้องกันวิธีรักษา
  • พิษจากสัตว์ คือสารพิษจากสัตว์ที่ทำให้เกิดอันตรายต่อคนหรือสัตว์ แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ตามความรุนแรง กลุ่ม 1: ไม่ร้ายแรง มีวิธีรักษา  กลุ่ม 2: ร้ายแรง แต่ยังรักษาได้ และกลุ่ม 3: ร้ายแรง และไม่มีวิธีรักษาที่ได้ผล

 

2. แนวคิดด้าน Biosafety และ Biosecurity

      ความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosafety) เป็นมาตรการที่มุ่งเน้นการป้องกันการติดเชื้อโดยไม่ตั้งใจ และการป้องกันการรั่วไหลของเชื้อออกสู่สิ่งแวดล้อม โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงาน ผู้ร่วมงาน และสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ ในขณะที่การรักษาความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity) มุ่งเน้นการป้องกันการสูญหาย การขโมย หรือการนำเชื้อโรคและสารชีวภาพไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม ทั้งสองแนวคิดมีความแตกต่างกันแต่ต้องดำเนินควบคู่กันเพื่อให้เกิดความปลอดภัยอย่างรอบด้าน

 

3. การจัดการความเสี่ยงทางชีวภาพ (Biorisk Management)

      การจัดการความเสี่ยงทางชีวภาพเป็นกระบวนการสำคัญในการทำงานกับเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เกิดความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosafety) การรักษาความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity) และการควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อ (Biocontainment)

กระบวนการจัดการความเสี่ยงทางชีวภาพ ประกอบด้วย 3 ขั้นตอนหลัก ได้แก่

1.การประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment) คือกระบวนการระบุความเสี่ยง การวิเคราะห์ความเสี่ยงและจัดลําดับความเสี่ยง โดยพิจารณา

  • โอกาสที่จะเกิด (Likelihood) หมายถึง ความถี่หรือโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์หรือความเสี่ยง
  • ผลกระทบ (Impact) หมายถึง ขนาดความรุนแรงของความเสียหายที่จะเกิดขึ้นหากเกิด เยียวยาได้มากน้อยแค่ไหน
  • ระดับของความเสี่ยง (Degree of Risk) หมายถึง สถานะของความเสี่ยงที่ได้จากประเมินโอกาสและผลกระทบของแต่ละปัจจัยเสี่ยงแบ่งเป็นระดับ

2.การควบคุมหรือบรรเทาความเสี่ยง (Risk Mitigation)

3.การติดตาม ตรวจสอบ และปรับปรุงมาตรการอย่างต่อเนื่อง

      การประเมินความเสี่ยงต้องดำเนินการ ก่อนเริ่มงาน และทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงเชื้อ วิธีการทำงาน โครงการ บุคลากร อุปกรณ์ หรือสถานที่ ปรับปรุงระบบ เป็นต้น โดยผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการประเมิน ได้แก่หัวหน้าโครงการ/หัวหน้าห้องปฏิบัติการ ผู้ดําเนินการ และ ผู้ปฏิบัติงานทุกคน

 

4. การปฏิบัติงานในห้องปฏิบัติการอย่างปลอดภัย

ระดับห้องปฏิบัติการ (Biosafety level; BSL)

    ห้องปฏิบัติการชีวภาพถูกแบ่งตามระดับความปลอดภัย (Biosafety level) เป็น BSL-1 ถึง BSL-4 ให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงของเชื้อที่ใช้งาน  ยิ่งเชื้ออันตราย ยิ่งต้องมีการควบคุมเข้มงวดขึ้น

  • BSL-1: เชื้อเสี่ยงต่ำ เป็นระดับความปลอดภัยพื้นฐาน ใช้ทํางานกับเชื้อโรคกลุ่มที่ 1 ที่ไม่ก่อโรคในคนหรือสัตว์ หรือพืช หรือเชื้อโรคที่มีความเสี่ยงน้อยหรืออันตรายน้อย ปฏิบัติงานตามมาตรฐานการปฏิบัติงานด้านจุลชีววิทยา
  • BSL-2: เชื้อเสี่ยงปานกลาง ใช้ทํางานกับเชื้อโรคกลุ่มที่ 2 ที่ทําให้เกิดโรคในคนและสัตว์หรือเชื้อโรคที่มีความเสี่ยงปานกลางหรืออันตรายปานกลางและไม่สามารถกระจายในอากาศ พิษจากสัตว์ทุกกลุ่ม และสารชีวภาพทุกกลุ่ม
  • BSL-3: เชื้อเสี่ยงสูง ใช้ทํางานกับเชื้อโรคกลุ่มที่ 3 ที่ทําให้เกิดโรคร้ายแรงในคนและสัตว์หรือเชื้อโรคกลุ่มที่ 2 ที่มีโอกาสแพร่กระจายทางอากาศ หรือเชื้อโรคที่มีความเสี่ยงสูงหรืออันตรายสูง ผู้รับผิดชอบต้องประเมินความเสี่ยง และบริหารจัดการให้เหมาะสม
  • BSL-4: ชื้ออันตรายสูงมาก ใช้ทํางานกับเชื้อโรคกลุ่มที่ 4 ที่ทําให้เกิดโรคร้ายแรงมากในคนและสัตว์   ไม่มียารักษา หรือเชื้อโรคที่มีความเสี่ยงสูงมากหรืออันตรายสูงมาก ผู้รับผิดชอบต้องประเมินความเสี่ยง และบริหารจัดการให้เหมาะสม โครงการต้องผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ก่อนการดําเนินงาน ปัจจุบันประเทศไทยไม่มีห้องปฏิบัติการระดับนี้

      การทำงานในห้องปฏิบัติการชีวภาพต้องดำเนินการให้เหมาะสมกับระดับความปลอดภัยของห้องปฏิบัติการ (BSL-1 ถึง BSL-4) ควบคู่กับการยึดหลัก Good Microbiological Practice  มีขั้นตอนปฏิบัติงานมาตรฐาน (Standard Operating Procedure: SOP) ที่ชัดเจน  มีการบันทึกข้อมูลอย่างครบถ้วน และ มีระบบรายงานอุบัติเหตุหรือเหตุผิดปกติอย่างเป็นระบบ

 

อุปกรณ์ปกป้องส่วนบุคคล (Personal Protective Equipment: PPE)

      PPE เป็นอุปกรณ์ป้องกันอันตรายระหว่างผู้ปฏิบัติงานกับงาน ถือเป็นด่านสุดท้ายของการป้องกันอันตราย จึงต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมกับชนิดเชื้อ ผ่านมาตรฐาน และมี SOP สำหรับการสวมใส่ ถอด และกำจัดอย่างถูกต้อง ข้อจำกัดของ PPE คือ ไม่ลดอันตรายที่ต้นเหตุ หากใช้ผิดหรือชำรุดจะทำให้เกิดความเสี่ยงทันที ประเภท PPE มีดังนี้

  • ป้องกันดวงตา/ใบหน้า เช่น goggles, face shield
  • ป้องกันระบบหายใจ เช่น หน้ากาก, N95
  • ป้องกันร่างกาย เช่น เสื้อกาวน์, ชุดป้องกัน
  • ป้องกันมือ/เท้า เช่น  ถุงมือ, รองเท้านิรภัย

     นอกจากนี้ การเลือกใช้อุปกรณ์ความปลอดภัย เช่น ตู้ชีวนิรภัย (Biological Safety Cabinet: BSC)  ต้องสอดคล้องกับลักษณะงาน เนื่องจากเป็นอุปกรณ์หลักในการควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อในห้องปฏิบัติการ และควรเลือกใช้ให้ถูกต้องตามลักษณะงาน

  • Chemical Fume Hood ใช้สำหรับสารเคมี ไม่เหมาะกับงานเชื้อ ป้องกันผู้ปฏิบัติงานจาก ไอสารเคมี/ สารระเหย/สารไวไฟ
  • Laminar Flow Clean Bench ป้องกันชิ้นงาน จากฝุ่นและจุลชีพแต่ไม่ป้องกันผู้ปฏิบัติงานและสิ่งแวดล้อม เหมาะกับงานปลอดเชื้อที่ ไม่มีความเสี่ยงทางชีวภาพ แบ่งเป็นแนวลมแนวตั้ง / แนวนอน
  • Biological Safety Cabinet (BSC) ออกแบบมาเพื่อควบคุมเชื้อโดยเฉพาะ ป้องกันทั้งผู้ปฏิบัติงาน ชิ้นงาน และสิ่งแวดล้อม โดยมีระบบกรอง HEPA เป็นหัวใจสำคัญ ประเภทของ BSC แบ่งเป็น 3 Class ดังนี้

          - Class I: ป้องกันผู้ปฏิบัติงาน และสิ่งแวดล้อม (ไม่ป้องกันชิ้นงาน)

          - Class II (A1, A2, B1, B2, C1): ป้องกันครบทั้ง 3 ด้าน (ใช้มากที่สุด)

          - Class III: ปิดสนิท ใช้กับเชื้อรุนแรงมาก (BSL-4)

 

5. การทำลายเชื้อ การขนส่ง และการจัดการขยะติดเชื้อ

การทำลายเชื้อ

     การทำงานที่เกี่ยวข้องกับเชื้อจุลชีพจำเป็นต้องมีมาตรการด้านความปลอดภัยทางชีวภาพที่เหมาะสม โดยเฉพาะการจัดการวัสดุ อุปกรณ์ และของเสียที่มีการปนเปื้อนเชื้อโรค การทำลายเชื้ออย่างถูกต้องจึงเป็นหัวใจสำคัญในการลดความเสี่ยงต่อผู้ปฏิบัติงาน สิ่งแวดล้อม และสาธารณชน บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสรุปแนวคิดและวิธีการทำลายเชื้อโรคที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริงในห้องปฏิบัติการ

การทำลายเชื้อโรคสามารถแบ่งออกเป็น 3 ระดับหลัก ได้แก่

  • Decontamination เป็นกระบวนการลดหรือขจัดความเป็นอันตรายจากวัสดุหรืออุปกรณ์ที่มีการปนเปื้อนเชื้อ เพื่อให้สามารถจัดการต่อไปได้อย่างปลอดภัย
  • Disinfection เป็นการลดจำนวนเชื้อจุลชีพให้อยู่ในระดับที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ มักใช้กับอุปกรณ์ เครื่องมือ หรือพื้นผิว แต่ไม่สามารถทำลายสปอร์ของเชื้อได้ทั้งหมด
  • Sterilization เป็นกระบวนการทำลายเชื้อจุลชีพทุกชนิด รวมถึงสปอร์ของเชื้อ เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความปลอดเชื้ออย่างสมบูรณ์

การเลือกใช้กระบวนการที่เหมาะสมควรพิจารณาจากชนิดของเชื้อ ระดับความเสี่ยง และลักษณะของงานที่ปฏิบัติ

ปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพของการทำลายเชื้อ

     ประสิทธิภาพของการทำลายเชื้อขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ได้แก่ ชนิดและความทนทานของเชื้อ ปริมาณเชื้อ วัสดุที่ปนเปื้อน การมีสารอินทรีย์ปะปน ชนิดและความเข้มข้นของสารฆ่าเชื้อ ระยะเวลาในการสัมผัส รวมถึงอุณหภูมิและปัจจัยทางกายภาพหรือเคมีอื่น ๆ การควบคุมปัจจัยเหล่านี้อย่างเหมาะสมจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน

วิธีการทำลายเชื้อที่ใช้ในห้องปฏิบัติการ

  • วิธีทางกายภาพ

วิธีทางกายภาพเป็นวิธีที่นิยมใช้ในห้องปฏิบัติการ เนื่องจากมีประสิทธิภาพสูงและสามารถควบคุมได้ โดยเฉพาะ หม้อนึ่งความดันไอน้ำ (Autoclave) ซึ่งสามารถทำลายเชื้อได้ทุกชนิดรวมถึงสปอร์ของเชื้อ และถือเป็นวิธีที่เชื่อถือได้มากที่สุด การใช้ความร้อนแห้งและการต้มน้ำเดือดเหมาะสำหรับอุปกรณ์บางประเภทที่ไม่ต้องการความปลอดเชื้อระดับสูงสุด ส่วนการกรองเหมาะสำหรับของเหลวหรือสารละลายที่ไม่สามารถใช้ความร้อนได้

การใช้รังสี เช่น รังสีแกมมา และรังสีอัลตราไวโอเลต เหมาะสำหรับวัสดุหรือพื้นที่ที่มีข้อจำกัดด้านความร้อน อย่างไรก็ตาม ต้องควบคุมการใช้งานอย่างเหมาะสมเพื่อความปลอดภัย

  • วิธีทางเคมี

      การทำลายเชื้อด้วยสารเคมีเป็นวิธีที่สะดวกและนำไปใช้ได้ง่าย แอลกอฮอล์ที่ความเข้มข้น 70% นิยมใช้สำหรับทำความสะอาดพื้นผิวและอุปกรณ์ขนาดเล็ก Sodium hypochlorite มีประสิทธิภาพสูงในการฆ่าเชื้อ แต่ควรใช้อย่างระมัดระวังเนื่องจากมีฤทธิ์กัดกร่อน ส่วน Ethylene oxide เหมาะสำหรับอุปกรณ์ที่ไม่ทนต่อความร้อน ขณะที่การย่อยด้วยด่างนิยมใช้ในการทำลายซากสัตว์ทดลองหรือวัสดุชีวภาพที่มีความเสี่ยงสูง

      แนวทางการนำไปใช้ในงานห้องปฏิบัติการการนำกระบวนการทำลายเชื้อไปใช้ควรเริ่มจากการประเมินความเสี่ยงของเชื้อและกิจกรรมที่ปฏิบัติ เลือกวิธีการทำลายเชื้อให้เหมาะสมกับชนิดของวัสดุและระดับความปลอดภัยที่ต้องการ ปฏิบัติตามแนวปฏิบัติและมาตรฐานที่กำหนดอย่างเคร่งครัด รวมถึงตรวจสอบและบำรุงรักษาอุปกรณ์อย่างสม่ำเสมอ

 

การขนส่งเชื้อโรค

      การขนส่งเชื้อโรคและตัวอย่างชีวภาพเป็นการเคลื่อนย้ายเชื้อ ตัวอย่าง หรือพิษจากสัตว์ ทั้งภายในและนอกสถานที่ ที่จะต้องเป็นไปตามข้อกำหนดของกฎหมายควบคุม ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องการขนส่ง การส่งมอบและการทำให้สิ้นสภาพเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ พ.ศ.2561 และประกาศกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เรื่องคุณสมบัติของหีบห่อชั้นนอกสำหรับการขนส่งเชื้อโรคกลุ่ม 2 และตัวอย่าง พ.ศ.2562 โดยจะควบคุมตามกลุ่มของเชื้อโรค

ระบบการบรรจุ 3 ชั้น (Triple Packaging) ชั้นใน: ใส่ตัวอย่าง (ปิดสนิท) ชั้นกลาง: กันแตกและวัสดุดูดซับ ชั้นนอก: แข็งแรง มีฉลากและสัญลักษณ์ Biohazard โดยจะต้องมีการและผ่านการทดสอบการตก การเจาะ และแรงดันก่อนการขนส่งเชื้อ

ภาชนะบรรจุเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข:

  • เชื้อโรคกลุ่ม 1: ความเสี่ยงต่ำ ไม่บังคับ แต่ให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขตามประกาศ
  • เชื้อโรคกลุ่ม 2: ต้องมีภาชนะชั้นใน ภาชนะชั้นกลาง (ไม่บังคับกรณีขนส่งภายในอาคาร) และภาชนะชั้นนอกที่มีคุณสมบัติตามที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ประกาศกำหนด
  • เชื้อโรคกลุ่ม 3-4: ต้องมีภาชนะชั้นใน ภาชนะชั้นกลาง และภาชนะชั้นนอกที่มีเครื่องหมายรับรองบรรจุภัณฑ์ที่ผ่านการทดสอบคุณสมบัติตามข้อเสนอของสหประชาชาติ
  • พิษจากสัตว์ทุกกลุ่ม : ต้องมีบรรจุในภาชนะอย่างน้อย 2 ชั้น

การแสดงรายละเอียดเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ตามประกาศ:

  • เชื้อโรคกลุ่ม 1: ชื่อ (ไทย/อังกฤษ) วันเดือนปีที่ผลิต/บรรจุหรือติดบาร์โค้ด ชื่อที่อยู่ของผู้ผลิต
  • เชื้อโรคกลุ่ม 2-4 และพิษจากสัตว์ทุกกลุ่ม: ชื่อวิทยาศาสตร์ (อังกฤษ) หรือรหัส วันเดือนปีที่ผลิต/บรรจุ หรือติดบาร์โค้ด

การขนส่งเชื้อโรค: ผู้ขับขี่ต้องมีใบอนุญาตเฉพาะห้ามใช้รถส่วนบุคคล ในกรณีเป็นการขนส่งระหว่างประเทศ ต้องตรวจเงื่อนไขประเทศปลายทาง

 

การจัดการขยะติดเชื้อ:

      การจัดการขยะติดเชื้อจำเป็นต้องแยกตั้งแต่ต้นทาง ใช้ภาชนะเฉพาะ ฆ่าเชื้อก่อนกำจัด และดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ได้แก่ พ.ร.บ. การสาธารณสุข กฎกระทรวงมูลฝอยติดเชื้อ และ พ.ร.บ.  เชื้อโรคและพิษจากสัตว์ โดยประเภทขยะในสถานปฏิบัติการ ได้แก่ ขยะทั่วไป ขยะติดเชื้อ ขยะมีคม ขยะเคมี  ขยะรังสี และซากสัตว์  โดยมีหลักการจัดการขยะติดเชื้อ ดังนี้

  • แยกตั้งแต่ต้นทาง
  • ใช้ภาชนะเฉพาะ (ถุงแดง / กล่องของมีคม)
  • เก็บในพื้นที่ควบคุม
  • ฆ่าเชื้อก่อนกำจัด
  • ขนส่งและกำจัดตามกฎหมาย

 

6. การจัดการเหตุสารชีวภาพรั่วไหล

      การเตรียมความพร้อมในการรับมือเหตุฉุกเฉินเป็นส่วนสำคัญของระบบความปลอดภัย ห้องปฏิบัติการต้องมีแผนและขั้นตอนปฏิบัติที่ชัดเจน รวมถึงมีชุดอุปกรณ์สำหรับจัดการสารชีวภาพรั่วไหล โดยยึดหลักการจำกัดพื้นที่ ลดการปนเปื้อน และทำความสะอาดอย่างเป็นระบบ พร้อมทั้งรายงานเหตุการณ์ต่อผู้รับผิดชอบและดูแลผู้ที่อาจสัมผัสเชื้ออย่างเหมาะสม การจัดการฉุกเฉินกรณีสารรั่วไหลนั้นต้องรู้จักการประเมินสถานการณ์ ความเป็นอันตรายอยู่ในระดับใด

  • Minor spill: ปริมาณน้อย ความเสี่ยงต่ำ
  • Major spill: ปริมาณมาก ฟุ้งกระจาย ระบุเชื้อไม่ได้

     ชุดอุปกรณ์สำหรับจัดการสารชีวภาพรั่วไหล (Biological Spill Kit) ประกอบด้วย PPE วัสดุดูดซับ น้ำยาฆ่าเชื้อ อุปกรณ์เก็บเศษ ถุงขยะติดเชื้อ ป้ายเตือน โดยมีขั้นตอนปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุ ดังนี้

  • แจ้งเตือน → ปิดกั้นพื้นที่ → รอ aerosol ตก
  • ใส่ PPE → ทำความสะอาดตาม SOP
  • รายงานหัวหน้างานและ biosafety officer
  • หากสัมผัสเชื้อ → ล้าง ทำแผล พบแพทย์

 

บทสรุป

      ความปลอดภัยทางชีวภาพและการรักษาความปลอดภัยทางชีวภาพเป็นพื้นฐานสำคัญของการดำเนินงานด้านชีวภาพในสถาบันการศึกษาและหน่วยงานวิจัย การมีความรู้ ความเข้าใจ และการปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด จะช่วยลดความเสี่ยง สร้างความปลอดภัย และส่งเสริมการดำเนินงานด้านการเรียนการสอนและการวิจัยให้มีคุณภาพและยั่งยืน

 

ความคิดเห็นทั้งหมด (0)
ไม่มีข้อมูลตามเงื่อนไขที่ท่านกำหนด
รายการบทความการแลกเปลี่ยนเรียนรู้หมวดหมู่ : กลุ่มงานช่วยวิชาการ
สรุปรายงานจากการอบรม » ขั้นตอนการใช้งานอุปกรณ์และเครื่องมือในห้องปฏิบัติการ
คู่มือปฏิบัติงานฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็นแนวทางในการใช้งานอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในห้องเรียนและห้องปฏิบัติการของรายวิชา 10310340/พธ340 พันธุศาสตร์เบื้องต้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เรียนสามารถใช้อุ...
ขั้นตอนการใช้งานกล้องจุลทรรศน์     กลุ่มงานตามสมรรถนะบุคลากร   กลุ่มงานช่วยวิชาการ
ผู้เขียน วริศรา สุวรรณ  วันที่เขียน 28/9/2568 10:51:24  แก้ไขล่าสุดเมื่อ 24/12/2568 17:16:46   เปิดอ่าน 1594  ครั้ง | แสดงความคิดเห็น 0  ครั้ง
สรุปรายงานจากการอบรม » แนวทางการจัดการของเสียในห้องปฏิบัติการให้มีความปลอดภัย
ในปัจจุบัน ห้องปฏิบัติการในมหาวิทยาลัยมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนงานวิจัยและการเรียนการสอนทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งมักมีการใช้สารเคมี สารชีวภาพ และวัสดุที่อาจเป็นอันตราย ดังนั้น การจัดการของเสียในห้องปฏิบั...
ความปลอดภัยในห้องปฏิบัติการ     กลุ่มงานตามสมรรถนะบุคลากร   กลุ่มงานช่วยวิชาการ
ผู้เขียน วริศรา สุวรรณ  วันที่เขียน 22/9/2568 11:14:04  แก้ไขล่าสุดเมื่อ 24/12/2568 1:52:14   เปิดอ่าน 180  ครั้ง | แสดงความคิดเห็น 0  ครั้ง
รุ่งทิพย์ กาวารี » #การประโยชน์ของกล้วยไม้ในผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม
การนำกล้วยไม้มาใช้ประโยชน์ในด้านสุขภาพและความงาม โดยเน้นองค์ประกอบทางเคมีและฤทธิ์ทางชีวภาพของกล้วยไม้บางชนิดที่พบในประเทศไทย ซึ่งกล้วยไม้เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย มีความหลาก...
กล้วยไม้  เครื่องสำอาง  นวัตกรรม  ผลิตภัณฑ์     กลุ่มงานตามสมรรถนะบุคลากร   กลุ่มงานช่วยวิชาการ
ผู้เขียน รุ่งทิพย์ กาวารี  วันที่เขียน 12/6/2568 9:26:58  แก้ไขล่าสุดเมื่อ 24/12/2568 0:20:27   เปิดอ่าน 432  ครั้ง | แสดงความคิดเห็น 0  ครั้ง