สรุปการเข้าร่วมโครงการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรสายวิชาการเพื่อเข้าสู่ตำแหน่งทางวิชาการ
วันที่เขียน 27/9/2566 0:03:03     แก้ไขล่าสุดเมื่อ 22/11/2567 2:58:49
เปิดอ่าน: 220 ครั้ง

โครงการอบรม เรื่อง "จริยธรรมและจรรยาบรรณทางวิชาการในการพิจารณากำหนดตำแหน่งทางวิชาการ" ณ ห้องประชุม 304 ชั้น 3 สำนักวิจัยฯ อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้บุคลากรมีความพร้อมในการขอตำแหน่งทางวิชาการ ซึ่งมีบุคลากรเข้าร่วมโครงการทั้งรูปแบบ onsite และ online จำนวน 118 คน ได้กล่าวถึงหลักจริยธรรมการวิจัยจริยธรรมการวิจัย หลักจริยธรรมการวิจัยในคนทั่วไป ภูมิหลังของความสำคัญสำหรับการวิจัยในมนุษย์ สิ่งที่วงการวิชาการต้องตระหนักและคำนึงถึง และจรรณยาบรรณทางวิชาการในการพิจารณากำหนดตำแหน่งวิชาการ จากความรู้ที่ได้รับสามารถนำความรู้ที่อบรมมาพัฒนาตนเอง เพื่อใช้ในการขอตำแหน่งวิชาการของตนเอง และพัฒนาหน่วยงานได้พัฒนาบุคลากรให้มีความรู้และความสามารถมาใช้ในการขอตำแหน่งวิชาการได้ถูกต้องตามหลักจริยธรรมการวิจัยและจรรยาบรรณ สามารถผลิตผลงานทางวิชาการได้ตามมาตรฐาน

ตามที่คณะวิทยาศาสตร์ได้อนุญาตให้ข้าพเจ้า อาจารย์ ดร.รัชนีวรรณ วงศ์พระจันทร์ พนักงานมหาวิทยาลัย ตำแหน่งอาจารย์ สังกัด หลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสถิติและการจัดการสารสนเทศ เข้าร่วมโครงการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรสายวิชาการเพื่อเข้าสู่ตำแหน่งทางวิชาการ เรื่อง “จริยธรรมและจรรยาบรรณทางวิชาการในการพิจารณากำหนดตำแหน่งทางวิชาการ” ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ๒๕๖6 ณ ห้องประชุม 304 ชั้น 3 สำนักวิจัยและส่งเสริมวิชาการการเกษตร อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพฯ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ นั้น บัดนี้ ข้าพเจ้าได้เข้าร่วมโครงการฯ ดังกล่าว เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงขอรายงานสรุปเนื้อหา และประโยชน์ที่ได้รับ ดังนี้

  • สรุปเนื้อหาที่ได้รับจากการเข้าประชุม/อบรม ฯลฯ

เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566 รองอธิการบดี (รองศาสตราจารย์ ดร.เกรียงศักดิ์  ศรีเงินยวง)เป็นประธานในโครงการอบรม เรื่อง "จริยธรรมและจรรยาบรรณทางวิชาการในการพิจารณากำหนดตำแหน่งทางวิชาการ" ณ ห้องประชุม 304 ชั้น 3 สำนักวิจัยฯ อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพฯ จัดโดย
ฝ่ายพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ วิทยากรโดย รองศาสตราจารย์ ดร.โยธิน  แสวงดี ตำแหน่ง รองศาสตราจารย์ ระดับ 9 มหาวิทยาลัยมหิดล มีวัตถุประสงค์เพื่อให้บุคลากรมีความพร้อมในการขอตำแหน่งทางวิชาการ ซึ่งมีบุคลากรเข้าร่วมโครงการทั้งรูปแบบ onsite และ online จำนวน 118 คน รองศาสตราจารย์ ดร.โยธิน
แสวงดี วิทยากรผู้ให้ความรู้ ได้กล่าวถึงจริยธรรมการวิจัยและจรรณยาบรรณทางวิชาการในการพิจารณากำหนดตำแหน่งวิชาการ ดังนี้

การพิจารณาตำแหน่งวิชาการนั้น อนุกรรมการฯ จะพิจารณาเกี่ยวกับองค์ประกอบต่าง ๆ เช่น

  1. ประโยชน์ของงานวิจัย
  2. การได้รับความยินยอมจากอาสาสมัครที่ทำวิจัย เช่น การทำวิจัยกับคน ต้องเขียนไว้ในรายงานวิจัย ชี้รายละเอียดเกี่ยวกับ การผ่านจริยธรรมการวิจัย และรหัสทุนวิจัย (ถ้ามี)
  3. ตระหนักถึงกระบวนการวิจัยและสิทธิมุนษยชน
  4. สามัญสำนึกของคน ว่าอะไรควรทำ/ไม่ควรทำ ในการอยู่ในสังคมที่ดี

 

หลักจริยธรรมการวิจัย จะให้ความสำคัญกับการได้มาซึ่งข้อมูลที่เป็นหน่วยในการวิเคราะห์ฯ เช่น คน มนุษย์ สัตว์ สำหรับคน จะเน้นที่ The Belmont Report

จรรยาบรรณ หมายถึง หลักความประพฤติอันเหมาะสม แสดงถึงคุณธรรมและจริยธรรมในการประกอบอาชีพที่กลุ่มบุคคลแต่ละสาขาวิชาชีพประมวลขึ้นไว้เป็นหลักเพื่อให้สมาชิกในวิชาชีพนั้น ๆ ยืดถือปฏิบัติ เพื่อรักษาชื่อสเยงและส่งเสริมเกียรติคุณของสาขาวิชาชีพของต้น เน้นและให้ความสำคัญกับ ตัวนักวิจัย ผู้เป็นนักวิชาการ (สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ) บทความวิจัย ได้รับการตีพิมพ์แล้วผ่านจริยธรรมการวิจัยฯ จากหน่วยงานไหน ต้องแสดงในบทความวิจัยด้วย แต่ในรายงานวิจัยต้องมีแนบใบยินยอมการทำวิจัยก่อน

 

หลักจริยธรรมการวิจัยในคนทั่วไป หรือ The Belmont Report ประกอบด้วย

  1. หลักการด้านพิทักษ์สิทธิและเคารพต่อบุคคล (Respect for person)

ก่อนทำการวิจัย ต้องมีการยื่นขอความยินยอมและลงนามเพื่อใช้แนบในบทความวิจัย/รายงานวิจัยด้วย ไม่เช่นนั้นอาจไม่ผ่านการพิจารณาในการขอตำแหน่งวิชาการได้

  1. หลักการที่เน้นคุณประโยชน์ เน้นความปลอดภัย ไม่ก่อให้เกิดอันตราย และเสียหายต่อบุคคล (Beneficence)

การแสดง Focus group ผู้ให้ข้อมูลในการวิจัย กรรมการจะให้แสดงหลักฐานการรักษาความลับ ถ้ารูปภาพจะต้องพยายามไม่ให้รู้ว่าเป็นใคร การเปิดหน้าอาจทำให้การขอตำแหน่งวิชาการไม่ผ่านได้

  1. หลักการที่เน้นความยุติธรรม (Justice)

กลุ่มเปาะบาง ผู้ป่วย ผู้สูงอายุ นั้นต้องตระหนักถึงการคัดเลือกผู้เข้าร่วมเพื่อความยุติธรรม อย่าเน้นเพียงกลุ่มเดียว ส่วนใหญ่ข้อนี้นักวิจัยจะมีอยู่แล้ว                  

                    บทความวิจัยผ่านแต่ไม่มีเอกสารยินยอม/จริยธรรมการวิจัยแนบ อาจจะขอตำแหน่งวิชาการไม่ผ่านได้ ในฐาน Q1-Q4 จะมีช่องให้แสดงการพิสูจน์ Approve

                   

                    ภูมิหลังของความสำคัญสำหรับการวิจัยในมนุษย์

                    โดยกฎนูเรมเบิร์ก (Nuremberg Code 1947) ซึ่งเกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง เพราะในระหว่างสงคราม ได้มีการทดลองของชาวนาซีในมนุษย์มากมาย คล้ายกับการรังแกมนุษยชาติอย่างไร้มนุษยธรรม ซึ่งผู้เขียนกฎนูเรมเบิร์ก ได้แก่ นักกฎหมายที่ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการทำวิจัยที่ถูกต้อง ถูกหลักการในทางจริยธรรม เน้นการยินยอม และตระหนักถึงสิทธิของบุคคลที่เป็นผู้ร่วมวิจัย ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้พิการ ผู้ด้อยโอกาส ผู้หมดสติ ผู้มีสติฟั่นเฟือน ผู้สูงอายุ เป็นต้น และในปี ค.ศ.164 ได้เกิดปฏิญญาเฮลซิงกิเกิดขึ้น โดยมีการปรับแก้จากเดิม มาเน้นที่นักวิจัย และผู้ร่วมวิจัย และในปี ค.ศ.2008 ได้มีการระบุขยายความครอบคลุมถึงผู้ให้ทุน กรรมการวิจัย ทีมงานวิจัย สถาบันวิจัย โดยผู้เข้าร่วมวิจัยทั้งที่เป็นอาสาสมัครโครงการวิจัย เจ้าหน้าที่ ต้องรับทราบและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ในเรื่อง การละเมิดสิทธิ และความถูกต้องของหลักการวิจัย ระเบียบวิธีวิจัย

 

สิ่งที่วงการวิชาการต้องตระหนักและคำนึงถึง กรรมการพิจารณาตำแหน่งทางวิชาการ จะให้ความสำคัญอย่างมากคือ วารสารทุกฉบับและกรรมการพิจารณาตำแหน่งทางวิชาการ จะให้ความสำคัญกับ

  1. Originality: การเป็นต้นฉบับที่ถูกต้อง ทำเอง ทั้งความคิดริเริ่ม การออกแบบ ฯลฯ
  2. Novelty: การเป็นผลงานวิจัยที่ใหม่ ได้ข้อค้นพบใหม่ ความแปลกใหม่ โดยอาจดูจากเอกสารอ้างอิง และตัวอย่างใหม่
  3. Reproducibility: ความสามารถในการทำซ้ำผลวิจัย ที่เน้นการวัด ทวนสอบหลายครั้ง หลายวิธี แต้ต้องสื่อสารเอง ไม่คัดลอก การทำซ้ำเพื่อดูว่าให้ผลการวิจัยเหมือนหรือแตกต่างกันหรือไม่ สามารถทำได้ แต่การเขียนและการอ้างอิงไม่ซ้ำกัน
  4. Fabrication: การสร้างข้อมูลโดยมิได้เกิดขึ้นจริง
  5. Falsification: การดัดแปลง ตัดต่อ ปกปิด เสริมต่อ บิดเบือนข้อมูลเพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจผิด ให้ระวังการดัดแปลง อ้างอิงใน.... อาจจะตกได้ เพราะเราไม่รู้ว่าคนนั้นอ้างมาถูกต้องหรือไม่ ต่อให้ลงวารสารแล้วก็จะขอตำแหน่งวิชาการไม่ผ่านได้
  6. Plagiarism: การคัดลอกหรือลอกเลียนผลงานของผู้อื่นโดยมิชอบ ปัจจุบันมีโปรแกรมที่นิยมใช้ได้แก่ อักขราพิสุทธ์ และ Turnitin เชิงอรรถไม่ควรอ้างซ้ำ ๆ เพราะทำให้รู้สึกว่าไปอ่านจากต้นฉบับยดีกว่า ระวังการอ้างคนเดิมมากเกินไป ระหวังเอกสารอ้างอิงคนเดิมปีเดิม และการซ้ำซ้อนควรอยู่ระหว่าง 9 – 22% ถ้าไม่มีซ้ำซ้อนเลย 0% ก็ไม่ได้เพราะถือว่าไม่มีความเป็นวิชาการ
  7. Misconduct in Authorship: การเป็นหรือไม่ได้เป็นผู้นิพนธ์โดยไม่เหมาะสม งานวิจัยที่จะมีความแตกต่างนั้น ส่วนใหญ่เป็นงานด้านการทดลอง แต่แตกต่างด้านพื้นที่/กลุ่มเป้าหมาย และได้ผลแตกต่าง

 

สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ได้วางหลักไว้ 9 ประการ ได้แก่

  1. นักวิจัยต้องซื่อสัตย์ และมีคุณธรรมในทางวิชาการ และการจัดการ
  2. นักวิจัยต้องตระหนักถึงพันธกรณีในการทำวิจัย
  3. นักวิจัยต้องมีพื้นฐานความรู้ในสาขาวิชาที่ทำ
  4. นักวิจัยต้องมีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ศึกษาวิจัย
  5. นักวิจัยต้องเคารพในศักดิ์ศรีของมนุษย์ที่ใช้เป็นตัวอย่างในการวิจัย
  6. นักวิจัยต้องมีอิสระทางความติดปราศจากอคติในทุกขั้นตอนของการวิจัย
  7. นักวิจัยต้องนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในทางที่ชอบ
  8. นักวิจัยพึงเคารพความคิดเห็นทางวิชาการของผู้อื่น
  9. นักวิจัยพึงมีความรับผิดชอบต่อสังคมทุกระดับ

 

          หลังจากนั้น วิทยากรได้ให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับบทความวิจัย หนังสือ ตำรา ที่ใช้ในการขอตำแหน่งวิชาการไว้ดังนี้

  1. บทความวิจัย
  • ควรมี citation, impact factor
  • การลงใน TCI1 การตรวจ prove ไม่ดีและบางครั้งไม่ส่งยื่นให้ผู้เขียน prove มีการพิมพ์ผิดเยอะมาก มีคำผิดเยอะ ต้องระวัง peer review
  • ผู้ตรวจจะเป็นศาสตราจารย์ ส่วนใหญ่จะแนะนำให้เขียน หนังสือ/ตำรา
  1. หนังสือ เช่น ความคลาดเคลื่อนในการสุ่มตัวอย่างทางประชากรศาสตร์
  2. ตำรา เขียนตามหลักการ ดังนั้นการเขียนหนังสือจะง่ายกว่าการเขียนตำรา ดังนั้นแนะนำให้ เขียนหนังสือและบทความวิจัย
  3. ผลงานทางวิชาการที่จะยื่นขอ ต้องเป็นผลงานที่ไม่เคยยื่นขอมาก่อน งานวิจัยที่เกี่ยวกับคน/สัตว์ ต้องผ่านคระกรรมการวิจัย ถ้าไม่ผ่านแต่มีหนังสือยินยอม ไม่รับรองจะขอตำแหน่งวิชาการผ่านหรือไม่ แล้วแต่กรรมการผู้ทรงฯ
  4. ฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ ต้องแม่นระเบียบ เพื่อแนะนำผู้ขอตำแหน่งวิชาการได้ถูกต้อง
  5. การยื่นขอรองศาสตราจารย์ ตีพิมพ์ใน scopus ดองงานมา 10 ปี มีงานเยอะ อยากยื่นงานวิจัย แต่ไม่มีจริยธรรมการวิจัยในช่วงเวลานั้น ทำให้ไม่สามารถนำมาขอตำแหน่งวิชาการในขณะนี้ได้
  6. ระวัง ตาราง รูปภาพ จะซ้ำซ้อนง่าย
  7. ระวัง citation อย่าอ้างซ้ำ

ต้องขอจริยะรรมการวิจัยกับมหาวิทยาลัยตัวเองเท่านั้น ไม่ให้ข้ามมหาวิทยาลัย นอกจากมีผู้ร่วมหลายสถาบัน แต่ก็มีบางหน่วยงานที่มีความร่วมมือ MOU เนื่องจากอยู่ระหว่าง

คำสำคัญ :
กลุ่มบทความ :
หมวดหมู่ :
แชร์ :
https://erp.mju.ac.th/acticleDetail.aspx?qid=1390
ความคิดเห็นทั้งหมด (0)
ไม่มีข้อมูลตามเงื่อนไขที่ท่านกำหนด
รายการบทความการแลกเปลี่ยนเรียนรู้หมวดหมู่ : กลุ่มงานสายวิชาการ
การเบิกค่าใช้จ่ายโครงการอย่างไร ภายใต้ระเบียบใหม่ของมหาวิทยาลัยแม่โจ้ » การเบิกค่าใช้จ่ายโครงการอย่างไร ภายใต้ระเบียบใหม่ของมหาวิทยาลัยแม่โจ้
การบริหารจัดการงบประมาณคณะวิทยาศาสตร์ ภายใต้ระเบียบใหม่ของมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ประจำปีงบประมาณ 2567 ได้มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดเพื่อเอื้อต่อการทำงาน และเพื่อให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้รับทราบแนวปฏิ...
  กลุ่มงานตามสมรรถนะบุคลากร   กลุ่มงานสายวิชาการ
ผู้เขียน นลิน วงศ์ขัตติยะ  วันที่เขียน 28/9/2567 16:33:52  แก้ไขล่าสุดเมื่อ 21/11/2567 13:36:43   เปิดอ่าน 106  ครั้ง | แสดงความคิดเห็น 0  ครั้ง