สรุปการเข้าอบรบเรื่อง การจัดการเรียนการสอนเพื่อปลูกฝังผู้เรียน มีความคิดใหม่ ความคิดสร้างสรรค์ การคิดค้นนวัตกรรม
ความคิดสร้างสรรค์ (Creative Thinking) เป็นความคิดที่แตกต่างไปจากความคิดเดิมๆ ซึ่งได้มากจากตนเอง เกิดจากการใช้ความรู้พื้นฐาน (basic knowledge) และการใช้ทักษะหรือวิธีการร่วมกันพัฒนาเป็นความคิดสร้างสรรค์ หรือถ้าเป็นความคิดสร้างสรรค์ที่มีประโยชน์ สร้างเป็นสิ่งคิดค้นแบบใหม่ๆ ก็จะกลายเป็นนวัตกรรมได้
นวัตกรรม เป็นการใช้องค์ความรู้ ร่วมกับความคิดสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหา ทำให้เกิดชิ้นงานใหม่ ที่มีประโยชน์ ซึ่งอาจเป็นกระบวนการใหม่ๆ ก็เป็นนวัตกรรมได้
ปัจจัยที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ ได้แก่
1) แรงจูงใจ หากผู้เรียนเห็นคุณค่า หรือมีแรงจูงใจเกี่ยวกับสิ่งที่เรียน ก็จะกระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ได้ง่ายและมากขึ้น เช่น เป็นสิ่งที่ชอบ เป็นสิ่งที่ใกล้ตัว เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ เป็นต้น
2) สภาพแวดล้อม ควรสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยในการแสดงความคิดเห็น การลองผิดลองถูก เป็นต้น
3) การอบรมเลี้ยงดู พ่อแม่ ควรฟังความคิดเห็นของลูก ไม่ดุ ไม่เข้มงวดเกินไป
4) บุคลิกภาพของครู ไม่เข้มงวดเกินไป รับฟังความคิดเห็นของนักศึกษา ควรสร้างกำลังใจให้นักศึกษา การถามคำถามควรเป็นคำถามปลายเปิดที่มีคำตอบได้หลากหลายแบบ
5) สมอง
วิธีการสอนที่ช่วยกระตุ้นการความคิดสร้างสรรค์ และนำไปสู่การสร้างนวัตกรรมมีดังนี้
1) การสอนแบบบรรยาย (Lecture) ต้องเป็นการสอนที่สั้น รวดเร็ว ต้องมีลีลาและบุคลิกภาพที่น่าสนใจ ควรมีรูปภาพประกอบ มีการให้ตัวอย่างเยอะ ๆ จะช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ หรือทำให้เห็นประโยชน์ของเนื้อหา ควรกระตุ้นให้นักศึกษาคิด และมีส่วนร่วมในบทเรียนให้ได้มากที่สุด เช่น มีคำถามชวนคิด ทำให้นักศึกษาคิดตาม มีการยกตัวอย่าง และอภิปรายร่วมกัน และควรมีแนวทางการสอนที่หลากหลาย หากเป็นเนื้อหาที่ยาก ควรกระตุ้นให้นักศึกษาสร้างเทคนิคในการจำของตนเอง หรือครูอาจสร้าง trick ที่ช่วยให้นักศึกษาจำได้จ่ายขึ้นได้
2) การแสดงสาธิต (demonstration) ทำให้นักศึกษาให้เห็นกระบวนการจริงๆ
3) การทำการทดลอง (experiment) การลงมือปฏิบัติจริง เมื่อทดลองเสร็จแล้วควรมีคำถามเพิ่มเติมจากผลการทดลอง เพื่อให้เกิดความคิดเพิ่มเติม ความคิดต่อยอดได้มากขึ้น การมอบหมายงานอภิปรายการทดลองที่ต่างกันจะช่วยแก้ปัญหาการลอกงานกันได้
4) การสอนแบบให้หลักการ แล้วยกตัวอย่างการประยุกต์ใช้ แล้วจึงให้ทำแบบฝึกหัด หรือการสอนแบบยกตัวอย่างประกอบก่อน แล้วจึงสรุปเป็นหลักการ (deduction/induction) จะทำให้นักศึกษาคิดตามและเข้าใจเนื้อหามากขึ้น และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อไปได้
5) การดูงานนอกสถานที่ (field trip) ควรมอบหมายงาน หรือมีใบงานให้นักศึกษา ให้นักศึกษาได้สะท้อนการดูงาน เช่น สะท้อนความรู้/ทักษะที่ได้จากการดูงาน สะท้อนสิ่งที่จะนำไปใช้ประโยชน์ อาจทำเป็นรายงาน หรือสรุปเป็นคลิปสั้น หรือทำเป็นวีดีโอประกอบ กระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์มากขึ้นได้
6) การทำ small group discussion เป็นการสร้างให้นักศึกษาแสดงความคิดเห็น และรับฟังความคิดเห็นจากผู้อื่น ควรจัดจำนวนคนต่อกลุ่มให้เหมาะสม และควรจัดเวลาหรือให้เวลาในการทำงานร่วมกันอย่างเหมาะสม และให้นักศึกษามีเวลาเตรียมตัวเพื่อทำงานด้วย
7) การเล่นละครสวมบทบาท (role playing) เป็นการสร้างสถานการณ์ ให้นักศึกษาแสดงเป็นบทบาทสมมติต่าง ๆ ทำให้นักศึกษาเข้าใจสถานการณ์ เข้าใจผู้อื่นๆมากขึ้น มักช่วยในเรื่องพฤติกรรม
8) การสร้างละคร (dramatization) มีการเขียนบท เป็นการผสมผสานระหว่างศาสตร์และศิลป์ เป็นกระบวนการที่ทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์สูง
9) Simulation การสร้างเป็น case study ของเนื้อหาที่เรียน มีการกระตุ้นสิ่งเร้าต่างๆ ซึ่งจะทำให้เกิดผลแตกต่างกัน สิ่งเร้าและผลที่เกิดขึ้นแบบต่างๆ จะทำให้เกิดการเปรียบเทียบ เกิดการคิดวิเคราะห์โดยใช้หลักการ/ความรู้มากขึ้น
10) การทำงานเป็นกลุ่ม (cooperative learning) เมื่อมอบหมายงานเป็นกลุ่ม ควรมอบหมายให้ชัดเจน มีการตรวจสอบการวางแผนงานของนักศึกษา และควรให้นักศึกษาบอกบทบาทหน้าที่ในกลุ่ม เพื่อให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการทำงาน
11) การฝึกงาน (work-integrated learning) ทำให้เกิดการเรียนรู้จากการทำงาน จากสถานประกอบการจริง แต่ควรเลือกสถานประกอบการที่เหมาะสมที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ของหลักสูตรฯ และกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้จริงๆ
12) Phenomenon-based learning เรียนรู้จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์ของเรา นำมาคิด/วิเคราะห์ร่วมกับนักศึกษา
13) Problem-based learning เช่น การทำปัญหาพิเศษ การศึกษาจากปัญหาต่างๆ เมื่อศึกษาแล้วต้องสร้างให้มีการเชื่อมต่อ/เชื่อมโยงถึงประเด็นการศึกษาให้ได้ และควรเป็นการเรียนรู้จากปัญหาที่มีจริงๆ