เอกสารเผยแพร่ความรู้ที่ได้จากการเข้าร่วมโครงการอบรม “จริยธรรมการวิจัยในคน สำหรับการวิจัยทางสังคมศาสตร์ ครั้งที่ 3”
วันที่เขียน 5/8/2564 11:27:29     แก้ไขล่าสุดเมื่อ 21/11/2567 21:55:54
เปิดอ่าน: 1620 ครั้ง

โครงการอบรม จริยธรรมการวิจัยในคน สำหรับการวิจัยทางสังคมศาสตร์ เป็นขั้นตอน กระบวนการที่จะต้องดำเนินการภายใต้การทำวิจัยในคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเก็บรวบรวมข้อมูลจากการสอบถาม สัมภาษณ์ เป็นต้น ดังนั้น การที่จะต้องมีการรับรองในด้านจริยธรรมการวิจัยในคนถือเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง ใยการเก็บรวบรวมข้อมูลจากอาสาสมัคร

๑. สรุปรายงานการเข้าร่วมโครงการอบรม รายละเอียดดังนี้

ในการเข้าร่วมอบรมครั้งนี้ แบ่งการดำเนินการออกเป็น ๒ ช่วง ได้แก่

            ๑.๑ ช่วงเช้า รับฟังการบรรยายในหัวข้อ “หลักจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์” โดยวิทยากร ๒ ท่านได้แก่ ผศ.ดร.วิรัช วงศ์ภินันท์วัฒนา และ ผศ.ดร.จักรพันธุ์ ขัดชุ่มแสง จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งมีเนื้อหา สาระ สรุปสังเขปดังนี้ จริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ หมายถึงหลักหรือแนวทางดำเนินการวิจัยที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของคุณธรรม และศีลธรรม เพื่อให้นักวิจัยได้ยึดถือและปฏิบัติตามหลักสากลที่การวิจัยนั้นมีการทดลองหรือเก็บข้อมูลจากคน โดยคำนึงถึงความสะดวก ปลอดภัย และประโยชน์ที่อาสาสมัครจะได้รับ และหลักจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์นั้น สามารถพิจารณาจาก 3 หลัก ได้แก่ หลักความเคารพในบุคคล (Respect for Persons) หลักประโยชน์ (Beneficence) และหลักความยุติธรรม (Justice) โดยสรุปในประเด็นดังกล่าว คือ อาสาสมัครได้รับการบอกกล่าว เปิดโอกาสให้ซักถาม ให้เวลาในการตัดสินใจ นักวิจัยรักษาความลับ ความเป็นส่วนตัว และการปิดบังชื่อ/ข้อมูลของอาสาสมัคร การวิจัยต้องไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนทางร่างกายและจิตใจของอาสาสมัคร และได้รับการปฏิบัติที่เท่าเทียมกัน ผลการวิจัยควรให้ดีต่ออาสาสมัคร ชุมชน หรือสังคม และวิทยากรบรรยายเกี่ยวกับขั้นตอนการพิจารณาจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ และประเภทของงานวิจัยที่จะขอรับการพิจารณาจริยธรรมการวิจัย หลังพักเบรกช่วงเช้า กลับมาฟังบรรยายในหัวข้อ กระบวนการขอความยินยอม (Process of Informed Consent) โดยได้อธิบายกระบวนการขอความยินยอมจากอาสาสมัครในทุกช่วงวัย ที่มีการดำเนินการที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับช่วงอายุของอาสาสมัคร

            ๑.๒ ช่วงบ่าย รับฟังการบรรยายเกี่ยวกับเอกสารชี้แจงผู้เข้าร่วมการวิจัย และหนังสือแสดงความสมัครใจในการเข้าร่วมการวิจัย โดยมีเนื้อหาใจความสำคัญ คือ ในการเก็บข้อมูลจากอาสาสมัครนั้น จำเป็นต้องทำเอกสารชี้แจงเพื่อเป็นการให้ข้อมูลอธิบายกระบวนการวิจัยเพื่อตัดสินใจ (Informed Consent) และมีหนังสือแสดงความสมัครใจในการเข้าร่วมการวิจัยโดยได้รับการบอกกล่าว แบบแสดงความยินยอมให้ทำการวิจัย (Informed Consent Form: ICF) ซึ่งเป็นหนังสือแสดงเจตนายินยอมเข้าร่วมการวิจัย โดยได้รับการบอกกล่าวและเต็มใจ โดยหนังสือแสดงเจตนายินยอมเข้าร่วมวิจัยนั้น จำแนกตามอายุของอาสาสมัคร ดังนี้

                        - อาสาสมัครอายุ 18 ปีขึ้นไป ใช้ Consent Form  เพียงอย่างเดียว

                        - อาสาสมัครอายุ 7 – 17 ปี ใช้ Assent Form และ Consent Form จากผู้ปกครอง

 

                        - อาสาสมัครอายุต่ำกว่า 7 ปี ผู้ปกครอง/ผู้ดูแลโดยชอบด้วยกฎหมายให้ความยินยอมแทน โดยใช้ Consent Form

                        โดยเอกสารการขอความยินยอมในอาสาสมัครเด็ก (Assent of the Child) สามารถจำแนกเป็นรายละเอียดแต่ละช่วงอายุ ดังนี้

                        - สำหรับเด็กเล็ก (7 – 12 ปี) ให้มีเอกสารข้อมูลฉบับที่ง่ายสำหรับเด็กที่จะเข้าใจได้ โดยอาจมีรูปภาพประกอบคำอธิบาย

                        - สำหรับเด็กโต (13 – 17 ปี) ให้ใช้เอกสารที่มีข้อความเหมือนฉบับสำหรับผู้ปกครองได้ โดยปรับสรรพนามให้เหมาะสม

                        - สำหรับเด็กที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ให้ใช้ Consent Form เหมือนผู้ใหญ่

            และข้อแนะนำในการเขียนเอกสารฯ มีดังนี้ ใช้สรรพนามให้ถูกต้อง เขียนอธิบายให้เข้าใจง่าย ชัดเจน ใช้ภาษาระดับชาวบ้านที่เข้าใจได้โดยทั่วไป ประโยคสั้น ๆ กะทัดรัด ไม่ใช้ศัพท์วิชาการ หรือทับศัพท์ภาษาอังกฤษ ไม่ใช้ข้อความแสดงการบังคับ ลดสิทธิ์ ชักจูง หรือใช้ประโยชน์เกินไป และเป็นการสื่อสาร 2 ทางที่อาสาสมัครมีโอกาสซักถามรายละเอียดหรือข้อมูลเพิ่มเติมจากนักวิจัยได้

                        และหลังจากวิทยากรบรรยายเสร็จ มีการแบ่งกลุ่มย่อย ศึกษากรณีศึกษา พร้อมนำเสนอผลการจากการศึกษากรณีศึกษา โดยในกลุ่มที่รับผิดชอบ ได้แก่ กรณีศึกษาที่ ๕ เรื่องระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการโรงเรียนสังกัดการศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีประสิทธิภาพ โดยทำการพิจารณาในประเด็นเกี่ยวกับจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ที่นักวิจัยต้องคำนึงถึงตามหลักเคารพในบุคคล หลักประโยชน์ และหลักยุติธรรม และเมื่อนำเสนอแล้วเสร็จ ได้มีการทำแบบทดสอบหลังการอบรม โดยผู้เข้ารับการอบรมจะต้องผ่านเกณฑ์ร้อยละ ๘๐ จึงจะผ่านตามเกณฑ์ และได้รับใบประกาศนียบัตร

 

๒. ประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานในตำแหน่งหน้าที่

๒.๑ ได้ความรู้ด้านจริยธรรมการวิจัยในคน และการเสนอโครงการวิจัยสำหรับการวิจัยทางสังคมศาสตร์

            ๒.๒ สามารถนำองค์ความรู้ที่ได้จากการอบรมไปประยุกต์ใช้ในการเขียนข้อเสนอโครงการวิจัยทางสังคมศาสตร์ ในด้านจริยธรรมการวิจัยในคน

 

๓. ประโยชน์ต่อหน่วยงาน (ระดับงาน/หลักสูตร/คณะ)

            ๓.๑ สามารถนำองค์ความรู้ที่ได้จากการอบรมมาประยุกต์ใช้ในด้านการเรียนการสอนอันเกี่ยวข้องกับนักศึกษา หรือหัวข้อที่ทำการเรียน การสอนในด้านการวิจัย โดยเฉพาะการวิจัยในคน เป็นต้น

            ๓.๒ พัฒนาองค์ความรู้ของผู้วิจัยให้มีความรู้ในด้านคุณธรรมการวิจัยในคน

            ๓.๓ เสริมสร้างองค์ความรู้ในประเด็นด้านการวิจัย อันจะเป็นประโยชน์ต่อหน่วยงานในระดับหลักสูตร โดยเฉพาะด้านคุณธรรมการวิจัยในคน

คำสำคัญ :
กลุ่มบทความ :
หมวดหมู่ :
แชร์ :
https://erp.mju.ac.th/acticleDetail.aspx?qid=1183
ความคิดเห็นทั้งหมด (0)
ไม่มีข้อมูลตามเงื่อนไขที่ท่านกำหนด
รายการบทความการแลกเปลี่ยนเรียนรู้หมวดหมู่ : กลุ่มงานสายวิชาการ
การเบิกค่าใช้จ่ายโครงการอย่างไร ภายใต้ระเบียบใหม่ของมหาวิทยาลัยแม่โจ้ » การเบิกค่าใช้จ่ายโครงการอย่างไร ภายใต้ระเบียบใหม่ของมหาวิทยาลัยแม่โจ้
การบริหารจัดการงบประมาณคณะวิทยาศาสตร์ ภายใต้ระเบียบใหม่ของมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ประจำปีงบประมาณ 2567 ได้มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดเพื่อเอื้อต่อการทำงาน และเพื่อให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้รับทราบแนวปฏิ...
  กลุ่มงานตามสมรรถนะบุคลากร   กลุ่มงานสายวิชาการ
ผู้เขียน นลิน วงศ์ขัตติยะ  วันที่เขียน 28/9/2567 16:33:52  แก้ไขล่าสุดเมื่อ 21/11/2567 13:36:43   เปิดอ่าน 106  ครั้ง | แสดงความคิดเห็น 0  ครั้ง