กบข. เปิดปมระบบบำนาญไทย
เกษม
เปิดปมระบบบำนาญไทย
ระบบบำเหน็จบำนาญของไทย เริ่มขึ้นในสมัยรัชการที่ 5 โดยการตราพระราชบัญญัติเพื่อจ่ายเบี้ยบำนาญเมื่อปี พ.ศ. 2444 เรียกว่า “พระราชบัญญัติเบี้ยบำนาญรัตนโกสินทร์ ศก 120” ระบบดังกล่าวมีการพัฒนาต่อเนื่องจึงถึงสมัยรัชกาลที่ 9 ได้ทรงมีพระกรุณาโปรดเกล้าให้ตรา “พระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการพุทธศักราช 2549” ขึ้นมา
ที่มาของการเปลี่ยนแปลงและการจัดตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
ปี พ.ศ. 2534 คณะรัฐมนตรีมติให้กระทรวงการคลัง พิจารณาปรับปรุงระบบบำเหน็จบำนาญข้าราชการให้เป็นระบบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพกลาง (Central Provident fund) โดยให้ใช้กลักการคำนวณมิให้ข้าราชการเสียสิทธิ์ และผลของการศึกษาในที่สุดออกมาเป็นการจัดตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.)
เหตุผลและความจำเป็นในการปรับปรุงระบบบำเหน็จบำนาญ
- ระบบบำเหน็จบำนาญตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2494 นั้น จะใช้เงินเดือนสุดท้ายเป็นหลักในการคำนวณ(เงินเดือนสุดท้าย x เวลาราชการ ÷ 50) ทำให้รัฐไม่สามารถปรับปรุงอัตราเงินเดือนของข้าราชการ ที่ยังรับราชการอยู่ให้สอดคล้องกับภาวะค่าครองชีพที่แท้จริงได้ เพราะหากมีการปรับปรุงอัตราเงินเดือนของข้าราชการ ก็จะส่งผลให้รายจ่ายบำเหน็จบำนาญของข้าราชการที่ออกจากงานไปแล้วเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย
- ที่ผ่านมารัฐมีภาระผูกพัน ในการจ่ายบำเหน็จบำนาญโดยเพียงแต่ตั้งงบประมาณรายจ่ายเป็นรายปีตามแต่จะคำนวณภาระเงินได้ในแต่ละปีเท่านั้น ไม่มีการกันเงินสำรองไว้ล่วงหน้า ซึ่งไม่เป็นไปตามหลักการบริหารการคลังที่ดี และเมื่อพิจารณาแล้วจะพบว่า ภาระการจ่ายบำเหน็จบำนาญในอนาคตนั้น เมื่อเทียบเป็นอัตราส่วนกับรายจ่ายประจำแล้ว จะเพิ่มสูงมาก ทำให้ขาดกลักประกันแก่ผู้รับบำนาญและกับข้าราชการในปัจจุบัน
พัฒนาการของการจัดตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ(กบข.)
ในระยะแรกของการศึกษาเพื่อจัดตั้ง กบข. กระทรวงการคลังได้มีแนวคิดที่จะจัดตั้งเป็นกองทุนบำเหน็จกลาง โดยในหลักการจะออกเป็นพระราชบัญญัติเป็นการเฉพาะขึ้นใหม่ ให้กองทุนมีสถานะเป็นนิติบุคคล โดยข้าราชการและลูกจ้างประจำทุกคนต้องเป็นสมาชิก ซึ่งต้องสะสมเงินเข้ากองทุนโดยรัฐบาลจะจ่ายสมทบให้เป็นประจำทุกเดือน เมื่อข้าราชการออกจากราชการจะได้รับเงินบำเหน็จเท่านั้น ยกเว้นข้าราชการที่รับราชการอยู่ก่อนการจัดตั้งกองทุน ซึ่งอาจจะได้รับบำเหน็จหรือบำนาญจากงบประมาณอีกส่วนหนึ่งด้วย อย่างไรก็ดี เมื่อนำร่างกฎหมายดังกล่าวเสนคณะรัฐมนตรี ได้มีข้อสังเกตและให้กลับไปทบทวนอีกครั้ง โดยเกรงว่าอาจจะมีการได้เปรียบเสียเปรียบเกิดขึ้นระหว่างข้าราชการที่บรรจุก่อน และหลังวันที่พระราชบัญญัติมีผลบังคับใช้
ต่อมากระทรวงการคลัง ได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งเพื่อศึกษาการจัดตั้งกองทุนบำเหน็จกลางอีกครั้ง โดยในการศึกษาของคณะกรรมการชุดดังกล่าวได้นำข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรี และข้อสังเกตจากผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน ระหว่างประเทศ (International Monetary fund หรือ IMF ) มาพิจารณา และในที่สุดได้เสนอร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา ซึ่งได้ผ่านขั้นตอนการออกกฎหมายเป็นลำดับ จนในที่สุดได้ตราเป็นพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2539 และประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2540 ซึ่งถือว่าเป็น “วัน กบข.” และ “วันสมาชิก” เนื่องจากเป็นวันที่ กบข. มีสมาชิกกลุ่มแรกจำนวน 1,069,013 คน
ข้าราชการที่รับราชการก่อนตั้ง กบข. (ก่อนปี 2540) สามารถเลือกเข้า กบข. หรือไม่ก็ได้ ผู้สมัครใจเข้าจะได้รับชดเชย สูตรบำนาญที่เปลี่ยนไปด้วย 1) เงินประเดิม และ 2) เงินชดเชย
1. เงินประเดิม เพื่อเป็นการ “ชดเชยเงินที่หายไปในช่วงเวลาก่อนสมัครเป็นสมาชิก กบข.” เงินส่วนนี้รัฐมีสูตรคำนวณชัดเจนและจ่ายเป็นเงินก้อน
2. เงินชดเชย เพื่อเป็นการ “ชดเชยเงินที่หายไปในช่วงเวลาหลังสมัครเป็นสมาชิก กบข.” กรณีนี้รัฐชดเชยให้ 2% ทุกเดือนจนกว่าจะเกษียณ
“เงินประเดิม และเงินชดเชยถูกส่งเข้า กบข. เพื่อให้นำไปลงทุนบริหารให้เกิดดอกผล มีสถานะเป็นเงินของรัฐ จนกว่าสมาชิกจะเกษียณ และเลือกรับบำนาญเท่านั้น กรณีสมาชิกเลือกรับบำเหน็จจะไม่ได้รับเงินก้อนนี้ เนื่องจากสูตรคำนาณบำเหน็จจะไม่ได้รับเงินก้อนนี้ เนื่องจากสูตรคำนวณบำเหน็จของระบบเก่าและระบบใหม่เหมือนกันจึงไม่มีความจำเป็นต้องชดเชย”
สิ่งที่เปลี่ยนไปเมื่อเป็นสมาชิก กบข.
ความแตกต่างของข้าราชการที่สมัครใจเข้าเป็นสมาชิก กบข. และข้าราชการที่ยังคงอยู่ในระบบราชการเดิมสิทธิทุกอย่างเหมือนเดิม ยกเว้น
ข้าราชการระบบเดิม ข้าราชการสมาชิก กบข.
สูตรคำนวณบำนาญ เงินเดือนสุดท้าย x เงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย x
เวลาราชการ ÷ 50 เวลาราชการ÷ 50 แต่ไม่เกิน
ร้อยละ70 ของเงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย
เงินประเดิม ไม่ได้รับจากรัฐ รัฐบาลจ่ายชดเชยสำหรับระยะเวลาก่อนเข้า
กบข. จ่ายให้เฉพาะผู้สมัครใจเป็นสมาชิก
กบข. ปี 2540 และเลือกรับบำนาญ
เงินชดเชย ไม่ได้รับจากรัฐ รัฐบาลจ่ายชดเชยสำหรับระยะเวลาหลังเข้า
กบข. ในอัตรา 2% ต่อเดือน จ่ายให้เฉพาะ
ผู้สมัครใจเป็นสมาชิก กบข. ปี 2540 และ
เลือกรับบำนาญ
เงินสะสม ไม่ต้องสะสม รัฐบังคับสะสม 3% ต่อเดือน สมาชิกสามารถ
3 % ต่อเดือน เลือกสะสมเพิ่มได้อีก 12% เงินสะสมนำไป
หักภาษีได้
เงินสมทบ ไม่ได้รับสมทบจาก รัฐสมทบให้ 3% ต่อเดือน
รัฐ3 % ต่อเดือน
สวัสดิการที่ ไม่มีสิทธิ มีสิทธิ
กบข.จัดหา
ประเด็นที่สมาชิกเรียกร้อง
ข้าราชการที่เป็นสมาชิก กบข. โดยความสมัครใจในปี 2540 ส่วนหนึ่งเริ่มร้องเรียน กบข. ในประเด็นเรื่องสูตรคำนวณบำนาญที่เปลี่ยนไป ทั้งที่ ในความเป็นจริง เงินบำนาญคือเงินที่สมาชิกข้าราชการรับโดยตรงจากกรมบัญชีกลาง ไม่ได้รับจาก กบข. นโยบายการปรับเปลี่ยนสูตรคำนวณบำนาญ เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงตามมติคณะรัฐมนตรีในปี พ.ศ. 2534
อย่างไรก็ดี กบข. มิได้นิ่งนอนใจต่อปัญหาดังกล่าวของสมาชิก ในปี 2550 กบข. ได้รวบรวมข้อร้องเรียนของสมาชิกเรื่องสูตรบำนาญที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ส่งให้กรมบัญชีกลางที่รับผิดชอบโดยตรงเพื่อพิจารณาหาทางแก้ไข และในปี 2552 กรมบัญชีกลาง ได้ว่าจ้างสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศึกษาสูตรคำนวณบำนาญและการจ่ายบำเหน็จดำรงชีพที่เหมาะสม
การดำเนินการของ กบข. ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสูตรบำนาญ ในปี 2553
- กบข. จัดสัมมนาผู้แทนสมาชิกทั่วประเทศเพื่อรับฟังปัญหา ข้อร้องเรียน และความคิดเห็นในประเด็นการแก้ไขสูตรบำนาญ
- กบข. ตั้งคณะอนุกรรมการศึกษาปมประเด็นสูตรบำนาญที่สมาชิกร้องเรียน และนำเสนอคณะกรรมการ กบข.
- กบข. ทำรายงานสรุปผลการศึกษา และสรุปข้อร้องเรียนของสมาชิกประเด็นสูตรบำนาญส่งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและปลัดกระทรวงการคลัง
ซึ่งในปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการ โดย กบข. เป็นผู้ประสานงานการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2539 ของหน่วยงานที่รับผิดชอบ กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง มี 2 เรื่องดังนี้
1. การแก้ไข พ.ร.บ. กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2539 ให้ผู้รับบำนาญปกติ หรือผู้รับบำนาญพิเศษพิเศษเพราะเหตุทุพพลภาพสามารถ นำสิทธิในบำเหน็จตกทอดไปเป็นหลักทรัพย์ในการประกันการกู้เงินกับสถาบันการเงินได้
2. การแก้ไขสูตรบำนาญตามมาตรา 63 แห่ง พ.ร.บ. กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2539
กบข. รายงานสมาชิก
ฉบับที่ 11
2554
และหากว่าท่านเป็นอีกแรงหนึ่งในการช่วยกันผลักดัน การแก้ไขสูตรบำนาญตามความน่าจะเป็นแล้ว ก็ขอความกรุณาช่วยแสดงความคิดเห็นในเว็ปไชด์ http://www.gpf.or.th/web/ ออกเสียง กระทุงภาครัฐซึ่งก็หนีไม่พ้น กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง เพื่อให้เกิดเป็นรูปธรรมที่เป็นจริงได้ ต่อไป