การอบรมได้แบ่งออกเป็นภาคบรรยาย และภาคปฏิบัติการ โดยภาคบรรยายได้แบ่งออกเป็น 10 หัวข้อ ดังนี้
- กฎหมาย และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosafety) ซึ่งกล่าวถึงกฎหมายในประเทศไทยที่เกี่ยวข้อง ข้อกำหนดของสหประชาชาติ และองค์การอนามัยโลก ผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องและสถานปฏิบัติการต้องดำเนินการอยู่ภายใต้กฎดังกล่าว โดยเฉพาะพ.ร.บ.เชื้อโรคและพิษจากสัตว์ พ.ศ. 2558
- หลักการด้านความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosafety) และการรักษาความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity) ซึ่งต้องจำแนกอันตรายในห้องปฏิบัติการ และปฏิบัติตามระดับห้องปฏิบัติการความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosafety Level, BSL)
- การจัดการความเสี่ยงทางชีวภาพ (Biorisk management) ต้องมีการประเมินความเสี่ยงก่อนดำเนินการ เพื่อจัดการและควบคุมความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
- การปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยทางชีวภาพ ใช้ในการออกแบบห้องปฎิบัติการเพื่อให้ทำงานได้อย่างปลอดภัย
- อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (Personal Protective Equipment: PPE) จะต้องใช้อุปกรณ์ป้องกัน เช่น แว่นตานิรภัย เสื้อกาวน์ ถุงมือ ถุงหุ้มรองเท้า ให้เหมาะสมกับการปฏิบัติการ
- อุปกรณ์เพื่อความปลอดภัย (Safety equipment) ถูกติดตั้งขึ้น เพื่อป้องกันอันตราย เช่น ตู้ชีวนิรภัย (Biological Safety Cabinet: BSC), Fume hood เป็นต้น
- การทำลายเชื้อโรค เป็นการลดการปนเปื้อน การทำลายเชื้อ การทำให้ปราศจากเชื้อ ก่อนกำจัดทิ้ง
- การขนส่งเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ ในประเทศไทยจะต้องปฏิบัติตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข สำหรับการขนส่งอื่น ๆ จะต้องปฏิบัติตามกฎที่เกี่ยวข้อง
- การจัดการขยะติดเชื้อ จะต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติ กฎกระทรวง และประกาศกระทรวงสาธารณสุขที่เกี่ยวข้อง ทั้งมูลฝอยติดเชื้อ กากกัมมันตรังสี และขยะเคมี
- การจัดการสารชีวภาพรั่วไหล ต้องมีการประเมินที่เกิดเหตุ และจัดการตามสถานการณ์ที่ประเมิน โดยใช้ Biological Hazard Spill Kit ในการจัดการตามขั้นตอนที่ได้รับการอบรมอย่างถูกต้อง
สำหรับภาคปฏิบัติการ มีการอบรม 3 หัวข้อ ได้แก่ การสวมใส่และถอดอุปกรณ์ปกป้องส่วนบุคคล การจัดการสารชีวภาพรั่วไหล การออกแบบสถานที่ การจัดวางเครื่องมือและอุปกรณ์ในสถานปฏิบัติการ และจำลองสถานการณ์ ซึ่งการฝึกปฏิบัติการนี้ ทำให้รับทราบถึงเทคนิคที่ควรใช้ และการปฏิบัติยามฉุกเฉิน