ตอนที่ 1 : ข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก
รหัสอ้างอิง : 1642
ชื่อสมาชิก : ภานรินทร์ ปรีชาวัฒนากร
เพศ : หญิง
อีเมล์ : panarin@mju.ac.th
ประเภทสมาชิก : บุคลากรภายใน[สังกัด]
ลงทะเบียนเมื่อ : 15/8/2557 10:34:23
แก้ไขล่าสุดเมื่อ : 15/8/2557 10:34:23


ตอนที่ 2 : ประวัติการเขียนบทความของสมาชิก
จากการได้เข้าร่วมประชุมวิชาการระดับชาติ ซึ่งการจัดการประชุมเพื่อส่งเสริมให้บุคลากรทางการศึกษา วิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้านการเกษตร อาหาร สุขภาพ และสิ่งแวดล้อม ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ทางวิชาการ รวมทั้งเผยแพร่ผลงานวิจัย งานสร้างสรรค์และนวัตกรรมสู่สาธารณะ ในรูปแบบของการเสวนาวิชาการ และการนำเสนอบทความ ซึ่งการเข้าร่วมประชุมครั้งนี้สอดคล้องกับผลลัพธ์การเรียนรู้ (PLOs) ในเรื่องของการมีทักษะการปฏิบัติงาน และทักษะการแก้ไขปัญหาด้านเทคโนโลยีชีวภาพทางการเกษตร รวมถึงสาขาที่เกี่ยวข้อง เพราะการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมเป็นกลไกสำคัญที่สนับสนุนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ โดยเฉพาะการสร้างความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการพัฒนาการเกษตรสร้างมูลค่าสู่ภาคอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ ทำให้เข้าใจถึงปัญหาซึ่งจะนำไปสู่แนวทางการวิจัยและแก้ไขปัญหาได้อย่างสัมฤทธิ์ผล และสามารถทำงานวิจัยเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อกันในการนำผลงานวิจัยต่อยอดขยายผลสร้างประโยชน์ต่อองค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการ และผู้สนใจทั่วไป อันจะส่งผลดีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอย่างแท้จริง สำหรับการการนำเสนอผลงานวิจัยหัวข้อที่สนใจคือ การใช้เทคโนโลยีการปลูกพืชไร้ดิน การปลูกพืชอินทรีย์ และการนำวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรกลับมาใช้ใหม่ เพราะการใช้ปุ๋ยอินทรีย์มีประโยชน์ต่อการปลูกพืชผัก เพื่อความปลอดภัยทั้งต่อเกษตรกร ผู้ผลิต และผู้บริโภค ในด้านผลของระดับความเข้มข้นของสารละลายธาตุอาหารที่เหมาะสม ต่อการเจริญเติบโตของพืช เช่น ต้นสับปะรดสี พบว่าความเข้มข้นของสารละลายธาตุอาหารที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตต้นสับปะรดสี สามารถนําไปใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการ ปลูกเลี้ยงต้นสับปะรดสี และนําข้อมูลที่ได้ไปต่อยอดทางการค้าในอนาคตต่อไปได้ และ ประเทศไทยมีเศษเหลือชีวมวลจากอ้อยและข้าวจํานวนมหาศาล การหาวิธีการใช้ประโยชน์จึงมีความสําคัญ เช่นการนํามาเป็นวัสดุเพาะต้นอ่อนฟ้าทะลายโจรเพื่อให้ได้ปริมาณสารแอนโดรกราโฟไลด์สูง และใช้เวลาการผลิตสั้นกว่า การใช้เศษเหลือชีวมวลจากอ้อยและข้าวช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโต และปริมาณสารแอนโดรกราโฟไลด์ในต้นอ่อนฟ้าทะลายโจร และวัสดุเพาะจากพีทมอสผสมวัสดุเพาะจากเศษเหลือชีวมวล อัตราส่วน 50:50 โดยปริมาตรมีศักยภาพในการเพาะต้นอ่อนฟ้าทะลายโจรให้มีปริมาณแอนโดรกราโฟไลด์สูงได้ หรือมีการนำเอาชีวนวัตกรรมวัสดุปรับปรุงดินจากก้อนเชื้อเห็ดนางฟ้าเก่าหมักร่วมกับวัตถุดิบอินทรีย์เหลือทิ้งทางการเกษตรโดยใช้เอนโดไฟติกแบคทีเรียเป็นหัวเชื้อในการผลิตสามารถจัดอยู่ในเกณฑ์วัสดุปรับปรุงดินคุณภาพสูงที่กรมพัฒนาที่ดินได้กําหนดไว้ หรือแม้กระทั่งผลของชนิดพลาสติกฟิล์มต่อการเจริญเติบโต คุณภาพและผลผลิตของ ผักกาดหอมพลาสติกคลุมหลังคาโรงเรือนถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีความจําเป็นต่อการปลูกพืชในโรงเรือน ดังนั้นการเลือกชนิดของพลาสติกคลุมหลังคาจึงมีผลต่อการเจริญเติบโตและผลผลิต โดยสรุปพบว่าการปลูกด้วยพลาสติกสีขาวและสีเหลืองมีความเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของผักกาดหอมสูงที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับการปลูกด้วยพลาสติกสีแดง
มาตรฐานความปลอดภัยห้องปฏิบัติการภายใต้โครงการมหาวิทยาลัยแม่ข่ายด้านมาตรฐานความปลอดภัยห้องปฏิบัติการ ปี 2564 : มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นโยบายส่งเสริมความปลอดภัยของห้องปฏิบัติการที่เกี่ยวกับสารเคมีและการขับเคลื่อน (พ.ศ. 2562 –2665) และมาตรการส่งเสริมให้เกิดการยกระดับความปลอดภัยของห้องปฏิบัติการของสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ • มุ่งสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานระดับชาติและนานาชาติผลักดันให้เกิดการจัดการความปลอดภัยและอาชีวอนามัยของห้องปฏิบัติการที่เกี่ยวกับสารอันตรายซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญหนึ่งในด้านมาตรฐานการวิจัยอย่างเป็นระบบ • มุ่งขับเคลื่อนให้เกิดการจัดการความปลอดภัยของห้องปฏิบัติการ ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพโดยเชื่อมโยงกับการจัดสรรทุนวิจัย • มุ่งพัฒนาระบบการจัดการและสร้างเครือข่ายเพื่อความปลอดภัยของห้องปฏิบัติการที่เกี่ยวกับสารเคมีและขยายผลครอบคลุมสารอันตราย • พัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความปลอดภัยของห้องปฏิบัติการ ทั้งผู้วิจัย ผู้บริหารและผู้ที่เกี่ยวข้อง และร่วมมือในการดาเนินงานให้บรรลุเป้าหมาย • สร้างความเข้มแข็งให้หน่วยงานเครือข่ายมีบุคลากรทุกระดับที่มีความสามารถในการบริหารจัดการรวมถึงระบบตรวจสอบติดตามความปลอดภัยของห้องปฏิบัติการที่เกี่ยวกับสารเคมี • เกิดมาตรฐานความปลอดภัยและอาชีวอนามัยในห้องปฏิบัติการที่มีมาตรฐานเทียบได้กับมาตรฐานความปลอดภัยและอาชีวอนามัยในสถานประกอบการ ก่อให้เกิดประโยชน์ของมาตรฐานการวิจัยดังนี้ 1) ปกป้องคุ้มครองสิทธิของอาสาสมัคร 2) ป้องกันความเสี่ยงและอันตรายที่เกิดขึ้นต่อสุขภาพมนุษย์ และความหลากหลายทางชีวภาพ 3) ผลการวิจัยได้รับการยอมรับทั้งในระดับชาติและระดับสากล 4) ควบคุมการเลี้ยง และการใช้สัตว์ให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ และจรรยาบรรณ 5) ป้องกันความเสี่ยงและอันตรายที่อาจเกิดขึ้นต่อผู้ปฏิบัติงานในห้องปฏิบัติการและสิ่งแวดล้อม 6) รักษาและส่งเสริมเกียรติคุณชื่อเสียงของนักวิจัย การประเมินในระบบการสำรวจสภาพความปลอดภัยของห้องปฏิบัติการ (ESPReL Checklist) และมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมระบบการจัดการด้านความปลอดภัยของห้องปฏิบัติการที่เกี่ยวกับสารเคมี (มอก.2677-2558) โครงการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยห้องปฏิบัติการวิจัยในประเทศไทย (2555) ได้ให้ความหมายของ ห้องปฏิบัติการปลอดภัยว่า คือ ห้องปฏิบัติการที่มีการป้องกันและลดความเสี่ยงอย่างเพียงพอที่จะทำให้ผู้ปฏิบัติงานที่ปฏิบัติตามข้อบังคับเกิดความปลอดภัย และไม่ก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมด้วย มาตรฐาน ESPReLChecklist ได้แก่ ความปลอดภัยของห้องปฏิบัติการ การบริหารระบบ การจัดการความปลอดภัย ระบบการจัดการสารเคมี ลักษณะ ทางกายภาพของห้องปฏิบัติการ อุปกรณ์และเครื่องมือ ระบบการจัดการของเสีย ระบบการป้องกันและแก้ไขภัยอันตราย การให้ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับ ความปลอดภัยในห้องปฏิบัติการ การจัดการข้อมูลและเอกสาร การจัดการข้อมูลสารเคมี และการจัดการความเสี่ยงระบบการจัดการสารเคมี ข้อมูลที่มีความจำเป็นต้องทราบ สารนั้นคืออะไร ปริมาณมากน้อยแค่ไหน ความเป็นอันตรายอย่างไร การจัดเก็บปลอดภัยต้องทำอย่างไร การใช้งานอย่างไรต้องปลอดภัย หลักเกณฑ์ทั่วไปในการจัดเก็บสารเคมีอย่างปลอดภัย • ต้องรู้ว่ามีอะไรบ้าง มากเท่าไหร่ และความเสี่ยงอย่างไร • เก็บสารเคมีในภาชนะที่เหมาะสม มีฉลากชัดเจน มีการตรวจสอบสม่ำเสมอ • แยกตามความเป็นอันตราย /ความเข้ากันไม่ได้ • เก็บสารเคมีในตู้บริเวณเหมาะสมและป้ายเตือนอันตรายที่ชัดเจนไม่วางขวดบนพื้นหรือโต๊ะปฏิบัติการ • ไม่เก็บสารไวไฟไว้มากเกินไป • มีเอกสาร SDS ของสารเคมีทุกชนิดที่จัดเก็บ • มีการประเมินความเสี่ยง การจัดเตรียมมาตรฐานรองรับเหตุฉุกเฉินที่เหมาะสม
การประเมินค่างานของบุคลากรสายสนับสนุนผู้ปฏิบัติงานในห้องปฏิบัติการ การประเมินค่างาน (Job Evaluation) เป็นเทคนิคหรือวิธีการที่ใช้ใน การกำหนดระดับตำแหน่งและอัตราการจ่ายค่าตอบแทนสำหรับผู้ปฏิบัติงานใน ตำแหน่งงานต่าง ๆ ในองค์กร บนหลักการที่ยึดถืองานเป็นหลัก การประเมินค่างาน เป็นการเปรียบเทียบความความสำคัญ ความยาก และคุณภาพของงานในความรับผิดชอบของตำแหน่งต่าง ๆ ในองค์กรเดียวกัน เพื่อประโยชน์ในการกาหนดระดับตำแหน่ง หรืออัตราค่าตอบแทนของตำแหน่ง ต่างๆ ที่เป็นระบบ เหมาะสมและเป็นธรรม และเป็นที่ยอมรับของผู้ปฏิบัติงานใน องค์กร “ไม่ใช่ประเมินตัวบุคคล” และ “ไม่ใช่วัดเชิงปริมาณงาน” กระบวนการก่อนประเมินค่างาน คือการวิเคราะห์งาน ประกอบด้วย 1.การวิเคราะห์โครงสร้าง ภารกิจ ความสัมพันธ์ของตำแหน่ง เป็นการจัดแบ่งงานและภาระงานในหน่วยงาน ตามสายการบังคับบัญชาและ มีความสัมพันธ์ของตำแหน่งต่างๆ 2.การวิเคราะห์ลักษณะงาน หน้าที่ความรับผิดชอบ เป็นการวิเคราะห์กระบวนการทำงาน ขั้นตอนและวิธีปฏิบัติงานและลักษณะงานที่ปฏิบัติ 3.การวิเคราะห์คุณภาพและความยุ่งยากซับซ้อนของงาน ระดับความรับผิดชอบ ระดับการตัดสินใจ และระดับของผลกระทบ และระดับความเสี่ยง หลักเกณฑ์การประเมินค่างาน 1. ต้องเข้าใจงาน ผู้ประเมินต้องมีความเข้าใจลักษณะงานที่ปฏิบัติ โดยจะต้องมีการวิเคราะห์งาน (Job Analysis) พิจารณาหน้าที่ความ รับผิดชอบของตำแหน่งที่จะประเมินว่าจำเป็นต้องใช้ผู้มีความสามารถ อย่างไรมาดำรงตำแหน่ง หากไม่เข้าใจงานจะไม่สามารถประเมินได้อย่าง ถูกต้อง 2. ประเมินค่างาน ไม่ใช่ ประเมินค่าคน ในการประเมินค่างานจะต้อง คำนึงถึง “งานของตำแหน่ง” เท่านั้น ไม่ใช่ ประเมินบุคคลที่ครอง ตำแหน่ง หรือการประเมินบุคคลเพื่อเลื่อนตำแหน่ง หรือการประเมินผล การปฏิบัติงานของบุคคล 3. มีมาตรฐาน ในการกำหนดองค์ประกอบในการประเมินค่างานนั้น จะต้องสะท้อนกับงานปัจจุบัน และสอดคล้องกับโครงสร้างค่าตอบแทน หรือระดับตำแหน่งที่เป็นมาตรฐานกลาง 4. ไม่มีอคติ ผู้ประเมินจะต้องมีการดำเนินการวิเคราะห์งาน และตีค่า งานของตำแหน่งอย่างเป็นธรรม โดยไม่นาความรู้สึกส่วนตัวมาพิจารณา ประเมินค่างาน 5.ตรวจสอบให้แน่ใจ เพื่อความเที่ยงตรงและแม่นยำในการประเมิน ค่างาน ในขั้นตอนสุดท้ายควรตรวจสอบวัตถุประสงค์หลักของงานที่บ่งบอกลักษณะที่ปฏิบัติของตำแหน่งว่าตรงกับหน้าที่ความรับผิดชอบของตำแหน่งหรือไม่ ตลอดจนตรวจสอบความสอดคล้องกับการประเมินค่างานแต่ละองค์ประกอบ และอาจต้องมีการตรวจสอบความสัมพันธ์หรือ เทียบเคียงกับตำแหน่งอื่นในองค์กรหรือนอกองค์กรด้วย สิ่งที่ต้องเตรียมในการประเมินค่างาน 1.วิสัยทัศน์ พันธกิจ ยุทธศาสตร์ กลยุทธ์ขององค์กร 2.หลักเกณฑ์การประเมินค่างาน 3.มาตรฐานกำหนดตำแหน่ง 4.ภาระงานของตำแหน่ง และแบบประเมินค่างาน สิ่งที่เป็นหลักสำคัญของตำแหน่ง คือ ลักษณะหน้าที่ความรับผิดชอบ คุณภาพของงาน และความรู้ความสามารถที่ต้องการ สิ่งที่ไม่นำมาพิจารณาในการประเมินค่าคือ 1.ความขยัน 2.ประสิทธิภาพของผู้ปฏิบัติงาน 3.บุคลิก ลักษณะ บุคคล 4.วุฒิการศึกษาที่ไม่เกี่ยวข้อง 5.ความอาวุโส 6.ปริมาณงาน
“Smart Laboratory : ระบบออนไลน์กับการพัฒนาระบบงานห้องปฏิบัติการ” ในสังคมยุคปัจุบันระบบออนไลน์ ต่างๆมีบทบาทสำคัญเป็นอย่างยิ่งที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตการทำงานประจำวัน ซึ่งสามารถอำนวยความสะดวก ง่ายต่อระบบการจัดการ ทำให้การทำงานถูกต้องและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ระบบออนไลน์ที่นำมาใช้ในห้องปฏิบัติการ ได้แก่ • QR_LIMS ระบบสารสนเทศ ห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ ยุคไทยแลนด์ 4.0 ระบบ ออนไลน์นี้เกิดขึ้นจากปัญหา ความไม่สะดวกในการจัดเก็บข้อมูล มีข้อมูลจำนวนมาก การบันทึกข้อมูลอยู่ในรูปแบบกระดาษ การดำเนินการมีความล่าช้า เจ้าหน้าที่มีน้อย การดำเนินงานด้วยมือ ความไม่สะดวกของลูกค้าที่เข้ามารับการติดต่อบริการ ความไม่สะดวกในการจัดทำรายงานต่อผู้บริหาร มีแนวทางสำหรับการจัดการของระบบขาดประสิทธิภาพ คือ การนำ QR_LIMS เข้ามาใช้เพราะSmart lab สามารถลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ เพิ่มคุณภาพและเพิ่มรายได้ โดยได้ดำเนินการ จัดการข้อมูลให้เป็นระบบง่ายต่อการเข้าถึงและนำไปใช้ประโยชน์ ตรวจสอบการทำงานได้ง่าย ทำงานได้รวดเร็วประหยัดเวลาลดขั้นตอนไม่มีข้อจำกัดในการทำงาน ปรับการทำงานให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้ง่าย เป็นความสะดวกของผู้บริหารในการพัฒนาด้านการตลาดโดยวิเคราะห์จากฐานข้อมูลลูกค้า บุคลากรทุกคนทางานแทนกันได้ทางานได้เต็มประสิทธิภาพ • การจัดการครุภัณฑ์วิทยาศาสตร์ด้วยสื่อมัลติมีเดีย เหตุผลสำคัญที่ต้องนำหลักการจัดการดังกล่าวนี้มา ใช้เพราะเกิดจากปัญหา ผู้ใช้บริการใช้งานเครื่องมือไม่ถูกต้อง ผู้ดูแลไม่มีเวลาสอนใช้ รบกวนเวลาทางานอื่น เครื่องมือเสียหาย ทาให้กระทบกับงาน เสียงบประมาณซ่อมและเสียเวลาในการรอซ่อม และประโยชน์ของการนำสื่อวีดีโอมาใช้จัดการเครื่องมือ คือผู้ใช้บริการใช้งานเครื่องมือได้อย่างถูกต้อง ผู้ดูแลไม่ต้องมาคอยสอนการใช้ซ้ำ ผู้ใช้บริการสามารถดูวีดีโอซ้ำได้หลายๆรอบ ลดความเสียหาย้องเครื่องมือและ ลดงบประมาณการซ่อมสามารถส่งสื่อวีดีโอให้กับผู้รับบริการได้ศึกษาการใช้ล่วงหน้าได้ • การจองใช้เครื่องมือด้วยระบบออนไลน์ เกิดจากปัญหา การเข้าถึงข้อมูลยาก ความล้าช้าจาก ขั้นตอนการเบิก ไม่มีการตัดStockทันที ทำให้ปริมาณคงเหลือไม่เป็นปัจจุบัน สิ้นเปลืองกระดาษในการกรอกแบบฟอร์มเบิก ดังนั้นเป้าหมายของระบบการจองเครื่องมือด้วยระบบออนไลน์ คือ พัฒนาระบบการเบิกจ่ายให้ทันสมัยโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ พัฒนาระบบการเบิกจ่ายให้มีประสิทธิภาพ ตอบสนองความต้องการอย่างทันท่วงที รวดเร็ว ทุกที่ทุกเวลา เพิ่มความสุขความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้รับและผู้ให้บริการ • การเบิกคืนเครื่องแก้วแบบออนไลน์ เหตุผลหลักปัญหาของการนำระบบออนไลน์การเบิกคืน เครื่องแก้วมาใช้ เพราะยังมีการใช้ระบบเบิกจ่ายที่เขียนลงในกระดาษ ไม่มีการจัดเก็บลงในระบบอิเลกทรอนิค จึงทำให้เกิดปัญหาขาดขั้นตอนการเบิก-คืนที่ชัดเจน ไม่สะดวกในการเบิก หรือคืนการติดตามการคืนที่ยาก ดังนั้นการทำขั้นตอนที่ชัดเจนและมีโปรแกรมออนไลน์ช่วยจัดการจะสามารถดำเนินงานได้สะดวกมากขึ้น • ระบบการจองใช้ เครื่องมือออนไลน์ด้วย โปรแกรม Trello จุดเริ่มต้นของปัญหาการนำระบบนี้มาใช้ เพราะเครื่องมือมีราคาแพง มีความซับซ้อนในการใช้งาน มีนักวิทยาศาสตร์ไม่เพียงพอ มีการใช้กระดาษในการเขียนจองจำนวนมาก การจองต้องติดต่อนักวิทยาศาสตร์โดยตรงทำให้ไม่ได้รับความสะดวก การรับแจ้งเครื่องมีปัญหาระหว่างการทดสอบล่าช้าเสียเวลา การจองต้องเดินทางมายังห้องปฏิบัติการ การขอใช้เครื่องซ้ำกันในวันเดียวกัน มีข้อผิดพลาดในการจองเช่นลืมวันจองใช้เครื่องมือ ไม่สามารถวางแผนการทำงานได้ล่วงหน้าเพราะไม่เห็นตารางการใช้เครื่องมือ และเมื่อมีการนำระบบจองเครื่องมือออนไลน์ด้วยโปรแกรม Trello มาใช้สามารถแก้ปัญหาดังกล่าวที่เกิดขึ้นได้ดี ทำให้ลดความผิดพลาดของการจองใช้เครื่องมือได้ • การพัฒนาการจองห้องปฏิบัติการออนไลน์ การพัฒนาระบบจองห้องนี้เกิดจากความต้องการใช้ ห้องปฏิบัติการนอกเวลาของนักศึกษา เพื่อปฏิบัติและทดสอบโปรแกรม อ่านหนังสือ เพื่อการประชุมหรือการติวหนังสือก่อนสอบ แต่นักศึกษายังใช้ระบบการจองแบบเก่าด้วยการกรอกแบบฟอร์มหรือการจดลงในสมุดและเดินทางไปห้องเจ้าหน้าที่เพื่อส่งแบบฟอร์มและรอการอนุมัติการในการใช้ห้อง แนวทางแก้ไขสามารถทำได้โดยการนำเอาระบบการจองห้องปฏิบัติการแบบออนไลน์เข้ามาใช้ทำให้เกิดความสะดวกสบายทั้งผู้ให้และผู้ใช้บริการ
การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับมาตรฐานความปลอดภัยห้องปฏิบัติการ เพื่อขยายขอบข่ายการจัดการความปลอดภัยในห้องปฏิบัติการให้ครอบคลุมตามนโยบายและแนวทางในการกำกับมาตรฐานความปลอดภัยห้องปฏิบัติการ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติจึงมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความตระหนักและมุ่งให้เกิดวัฒนธรรมความปลอดภัยห้องปฏิบัติการอย่างยั่งยืน และเพื่อให้มีการจัดการความปลอดภัยในห้องปฏิบัติการอย่างเป็นระบบและมีความต่อเนื่อง สำหรับการจัดการของเสียในห้องปฏิบัติการ จะประกอบด้วยการจัดการข้อมูลของเสีย ,การจำแนกประเภทของของเสีย ,การรวบรวมและจัดเก็บของเสีย ,การบำบัดและกำจัดของเสีย ,การตรวจติดตามการประเมินและรายงานผลการดำเนินการด้านต่างๆของการจัดการของเสีย และการดำเนินงานด้านมาตรฐานความปลอดภัยห้องปฏิบัติการด้านองค์ประกอบที่ 4-7 และมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมระบบการจัดการด้านความปลอดภัยห้องปฏิบัติการที่เกี่ยวกับสารเคมี (มอก.2677-2558)” การดำเนินงานของห้องปฏิบัติการก่อให้เกิดการพัฒนาความปลอดภัยของห้องปฏิบัติการได้นำเอาเครื่องมือเพื่อ การยกระดับความปลอดภัยห้องปฏิบัติการ หรือที่เรียกว่า ESPReL Checklist1 ซึ่งเป็นรายการสำรวจสำหรับประเมิน สถานภาพความปลอดภัยของห้องปฏิบัติการด้วยตนเอง ประกอบด้วย 7 องค์ประกอบที่ทำให้เกิดความปลอดภัยของห้องปฏิบัติการ เครื่องมือนี้แสดงจุดแข็ง จุดอ่อนของการจัดการด้านต่างๆ ที่สามารถนาไปใช้เพื่อการแก้ไขปรับปรุงอย่างเป็น ระบบได้ เมื่อ วช. ดำเนินงานจนมีความพร้อมของเครื่องมือระดับหนึ่ง จึงได้ร่วมมือกับสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม โดย การพัฒนา ESPReLChecklist ไปเป็นมาตรฐานระดับชาติ คือ “มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมระบบการจัดการด้านความ ปลอดภัยของห้องปฏิบัติการที่เกี่ยวกับสารเคมี” (มอก. 2677–2558) ประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานในตำแหน่งหน้าที่ 1. สามารถนำระบบการจัดการสารเคมีเพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการจัดการสารเคมี การเก็บสารเคมี การเคลื่อนย้ายสารเคมี ในห้องปฏิบัติการให้ถูกต้องและปลอดภัยตามหลักสากล 2. เข้าใจหลักการจัดการของเสียในห้องปฏิบัติการเพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการจัดการกับของเสีย การจำแนก และรวบรวมของเสียในห้องปฏิบัติการของตนเองให้ถูกต้องและปลอดภัย 3. เข้าใจหลักการมาตรฐานความปลอดภัยห้องปฏิบัติการ ระดับพื้นฐาน ESPRel Checklist และได้ทดลองฝึกปฏิบัติการใช้งาน ESRel Checklist เพื่อสำรวจสถานภาพความปลอดภัยห้องปฏิบัติการ 4. สามารถนำเกณฑ์พื้นฐาน ESPRel Checklist เบื้องต้นมาทดลองประยุกต์ใช้เบื้องต้นในห้องปฏิบัติการ
- ยังไม่มีรายการคำถาม
เข้าร่วมโครงการการพัฒนาองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หลักสูตรข้อกำหนดและการตรวจติดตามภายในระบบมาตรฐานอุตสาหกรรมอาหาร ISO 22000: 2018 และ FSSC 22000 Version 5 ในระหว่างวันเสาร์ที่ 21 และวันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2563 ณ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้
ก้อนเห็ดหมดอายุเป็นแหล่งของเอนไซม์ กลุ่มย่อยโพลิแซคคาไรด์หลายชนิดที่นำมาใช้เป็นเอนไซม์เสริมในอาหารสัตว์ได้ และจากผลวิเคราะห์ค่ากิจกรรมเอนไซม์ย่อยโพลีแซคคาไรด์ในก้อนเห็ดหมดอายุ 4 ชนิด ได้แก่ เห็ดยานางิ เห็ดนางฟ้า เห็ดขอนขาว และเห็ดลม พบว่า ก้อนเห็ดลมมีกิจกรรมของเอนไซม์เหลือมากที่สุด คือ เซลลูเลส 5.48 อะมัยเลส 5.20 แมนนาเนส และไซลาเนส 16.07 ยูนิต/กรัม น้ำหนักแห้ง และพบว่าการสกัดด้วยระบบวนชะสามารถสกัดเอนไซม์ได้ดีกว่าการสกัดแบบครั้งคราว อัตราการไหล 8 มล./นาที 2 รอบ สกัดเอนไซม์รวมได้ 31.29 ยูนิต/กรัม น้ำหนักแห้ง เอนไซม์หยาบที่ผลิตได้นี้สามารถย่อยพื้นผิวของแกลบได้ ดังนั้นคาดว่าน่าจะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงในแง่ของการเสริมในอาหารสัตว์เพื่อเพิ่มการย่อยได้ของสัตว์ เอนไซม์อาหารสัตว์มักจะนิยมเสริมในอาหารสัตว์ เพื่อให้สัตว์มีสมรรถนะการเจริญที่ดี ช่วยเพิ่มค่าการย่อยได้ของอาหาร (digestibility) ทำให้สัตว์สามารถดูดซึมสารอาหารไปใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น และช่วยกำจัดสารต้านโภชนะ (antinutritional factors) ที่ก่อผลเสียต่อการเจริญของสัตว์ได้อีกด้วย มีรายงานวิจัยที่ยืนยันถึงประโยชน์จากการเสริมเอนไซม์ลงไปในอาหารสัตว์เพื่อปรับปรุงสมรรถนะการเจริญของสัตว์เลี้ยง (Marquardt et al., 1996; Alam et al., 2003; Vahjen et al., 2005) ได้แก่ เอนไซม์ xylanase beta-mannanase beta-glucanase cellulase protease และ phytase เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นการแสวงหาแหล่งเอนไซม์หาได้ง่าย ราคาถูก จึงควรนำมาศึกษาแนวทางที่จะช่วยให้เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ทุกระดับลดค่าใช้จ่ายได้ ก้อนเพาะเห็ดที่ผ่านการใช้งานและหมดอายุแล้ว (spent mushrooms) สามารถใช้เป็นแหล่งเอนไซม์อาหารสัตว์ในกลุ่มที่ย่อยสารโพลิแซคคาไรด์ (polysaccharide-degrading enzymes) ได้ ดังนั้นการวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อสำรวจปริมาณเอนไซม์อาหารสัตว์ที่เหลืออยู่ในก้อนเพาะเห็ดที่หมดอายุ โดยเน้นเอนไซม์กลุ่มย่อยโพลิแซคคาไรด์เป็นสำคัญ รวมทั้งศึกษากระบวนการสกัดเอนไซม์อย่างง่ายแต่มีประสิทธิภาพ เพื่อเกษตรกรสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างสะดวก และสามารถผลิตเอนไซม์ใช้เองได้ ลดต้นทุนการผลิต เพิ่มมูลค่าให้กับวัสดุเหลือทิ้งการเกษตร และลดปัญหาสิ่งแวดล้อม ผลการทดลองและวิจารณ์ผลจากงานวิจัย ? ผลการเลือกก้อนเห็ดเตรียมเอนไซม์ ก้อนเห็ดลมมีเอนไซม์ย่อยโพลิแซคคาไรดเหลือสูงสุด รวมเอนไซม์ทั้งหมด 42.74 ยูนิต/กรัม น้ำหนักแห้ง ก้อนเห็ดเห็ดยานางิ มีเอนไซม์เหลืออยู่น้อยที่สุด 4 ยูนิต/กรัม น้ำหนัก ? การเปรียบเทียบระบบสกัดเอนไซม์ การสกัดด้วยน้ำเปล่าและสารละลายSodium phosphate buffer ให้ผลได้ (yield) ของเอนไซม์ที่ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ? ผลของอัตราการไหลในระบบต่อปริมาณเอนไซม์ การสกัดแบบวนชะสามารถสกัดเอนไซม์ได้ดีกว่าการสกัดแบบครั้งคราว ด้วยอัตราการไหล 8 ml/ min สามารถสกัดเอนไซม์ได้ดีที่สุด ? ผลของจำนวนรอบที่มีต่อปริมาณเอนไซม์ การวนชะ จำนวน 2 รอบ สามารถสกัดเอนไซม์ได้ดีที่สุด ? การทดสอบย่อยพื้นผิวแกลบด้วยเอนไซม์หยาบ ลักษณะสัณฐานภายใต้กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน พื้นผิวทั้งภายในและภายนอกของแกลบหยาบ มีลักษณะคล้ายถูกกัดกร่อน แสดงถึงการถูกย่อยโดยเอนไซม์ ปริมาณเอนไซม์ที่สกัดได้เป็นที่น่าพึงพอใจ และเอนไซม์อะมัยเลส ถูกสกัดออกมาน้อยมากเมื่อใช้อัตราการไหลที่ต่ำ เอนไซม์ชนิดอื่นๆ มีความแตกต่างของผลได้เพียงเล็กน้อย อาจมีสาเหตุในระดับโครงสร้างโมเลกุลของเอนไซม์ที่ส่งผลต่อการจับ (affinity) บนอนุภาคก้อนเห็ด ดังนั้นจึงคาดว่าแกลบที่ผ่านการย่อยด้วยเอนไซม์จากก้อนเห็ดหมดอายุเหล่านี้ น่าจะมีค่าการย่อยได้สูงขึ้น และถูกนำไปใช้โดยสัตว์มากขึ้น สรุปผล ก้อนเห็ดลมหมดอายุ มีเอนไซม์กลุ่มย่อยโพลิแซคคาไรด์หลงเหลือสูงที่สุด มีเอนไซม์รวม 42.74 ยูนิต/กรัม น้ำหนักแห้ง และมีเอนไซม์เซลลูเลส 5.475 อะมัยเลส แมนนาเนส 15.991 และไซลาเนส 16.073 ยูนิต/กรัม น้ำหนักแห้ง ในขณะที่ก้อนเห็ดหมดอายุ ยานางิ มีเอนไซม์น้อยที่สุด 10 ยูนิต /กรัม น้ำหนักแห้ง และการสกัดเอนไซม์โดยใช้ระบบวนชะสามารถสกัดได้มากกว่าการสกัดแบบครั้งคราว มีอัตราการไหลที่ระดับ 8 มล./นาที เป็นระดับที่ดีที่สุดในการสกัด และยังพบว่าเอนไซม์ที่เตรียมจากก้อนเห็ดลม มีศักยภาพที่จะนำไปใช้เสริมในอาหารสัตว์เพื่อเพิ่มการย่อยได้ของสัตว์ต่อไป Figure 1 The morphology of rice husk (A) comparing to rice husk treated by crude enzyme from spent mushroom (B ) เอกสารอ้างอิง Alam, M.J., M.A.R. Howider, M.A.H. Pramanik and M.A. Haque. 2003. Effect of exogenous enzyme in diet on broiler performance. International Journal of Poultry Science 2: 168-173. Marquardt, R.R., A. Brenes, Z. Zhang and D. Boros. 1996. Use of enzymes to improve nutrient availability in poultry feedstuffs. Animal Feed Science and Technology 60: 321- 330. Vahjen, W., T. Busch and O. Simon. 2005. Study on the use of soya bean polysaccharide degrading enzymes in broiler nutrition. Animal Feed Scienceand Technology 120: 259-276.
กระเทียมดำ (Black garlic) กระเทียมดำ คือกระเทียมขาวพันธุ์ปกติ ที่ผ่านกระบวนการหมักบ่ม (Fermentation) ภายใต้อุณหภูมิและความชื้นที่เหมาะสม เป็นเวลานาน 1 เดือน จนทำให้มีสีดำ ไม่มีกลิ่นฉุน รสหวาน รับประทานง่าย และที่สำคัญมีปริมาณสารสำคัญต่างๆ เพิ่มขึ้น 13 เท่า กระเทียมดำมีประโยชน์และฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลากหลายและเป็นที่รู้จักกันดีแพร่หลายในครัวและวงการแพทย์ของเกาหลี ญี่ปุ่น จีน ตลอดเป็นที่นิยมในประเทศสเปน กระเทียมดำโด่งดังในฐานะเป็นสมุนไพรที่ใช้บรรเทาอาการต่างๆ ในวงการแพทย์ทางเลือกโดยเฉพาะที่ประเทศเยอรมนี มีการเผยแพร่งานวิจัยของแพทย์ทางอายุรกรรม มหาวิทยาลัยไฟร์บวร์ก Prof. Dr. Sigrun Chrubasik-Hausmann ที่ทำการวิจัยเกี่ยวกับกระเทียมดำในทางการแพทย์ธรรมชาติต่อการรักษาโรคหลายแขนงและการบำบัดรักษาอาการปวด ซึ่งพบว่ากระเทียมดำได้มีส่วนช่วยรักษาโรค และทำให้ระบบภูมิต้านทานโรคดีขึ้น โดยได้มีการเผยแพร่บทความและงานวิจัยการเพิ่มมากขึ้น หลักการทำให้กระเทียมดำ สีดำของกระเทียมดำที่เห็นเกิดจากการหมักบ่มกระเทียมสด และเกิดจากปฏิกิริยาเมลลาร์ด (Maillard reaction) ซึ่งเป็นปฏิกิริยาการเกิดสีน้ำตาลที่ไม่เกี่ยวข้องกับเอนไซม์ เป็นผลของปฏิกริยาเคมีระหว่างน้ำตาลรีดิวซิงกับหมู่อะมิโนในโมเลกุลของกรดอะมิโนอิสระในกระเทียมทำให้ได้เป็นสารสีน้ำตาล และเมื่อผ่านกระบวนการผลิตด้วยความร้อน ฟรุคแทน (fructan) ซึ่งเป็นสารโพลีแซคคาไรด์ ในกระเทียมจะเกิดการสลายตัวกลายเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวได้แก่ กลูโคส และฟรุคโตส ทำจึงให้กระเทียมดำที่ได้มีรสหวาน สารสำคัญที่พบในกระเทียมดำ นักวิจัยได้ศึกษาพบว่า ในระหว่างการหมักบ่มกระเทียมสด สาระสำคัญที่ไม่คงตัว และมีกลิ่นฉุน จะถูกเปลี่ยนเป็นสารที่คงตัว และไม่มีกลิ่นฉุน ซึ่งได้แก่ • S-allycysteine (SAC) เป็นสารประกอบกำมะถันที่ละลายในน้ำ มีคุณสมบัติในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ลดคลอเรสเตอรอล และป้องกันมะเร็ง • S-allyl melcaptocystein (SAMC) มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันมะเร็ง • Y-Aminobutyric acid (GABA) ซึ่งเป็นสารประกอบอินทรย์ชนิดหนึ่งที่ทำหน้าที่ในระบบประสาทของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มีคุณสมบัติบำรุงสมอง และป้องกันโรคความผิดปกติของระบบประสาท • ปริมาณกรดอะมิโน 18 ชนิด โปรตีน เอนไซม์ SOD สารกลุ่ม flavonoids และสารกลุ่ม polyphenols ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ร่างกายดูดซึมได้ง่าย และเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับกระเทียมสด ตาราง สารสำคัญในกระเทียมดำเปรียบเทียบกับกระเทียมสด ที่มา: https://www.pharmacy.mahidol.ac.th ลักษณะกระเทียมดำที่ดี สีดำ มีเนื้อสัมผัสเหนียว ยืดหยุ่นคล้ายเจลลี่ รสชาติหวาน มีกลิ่นฉุนของกระเทียมลดลง ประโยชน์ของกระเทียมดำ จากการศึกษาผลของการรับประทานกระเทียมดำ พบว่ามีประโยชน์มากมายดังนี้ 1) ช่วยบำรุงสมอง และป้องกันโรคความผิดปกติของระบบประสาท เพราะกระเทียมดำมี สารY-Aminobutyric acid (GABA) ซึ่งเป็นสารประกอบอินทรีย์ที่ทำหน้าที่ในระบบประสาทของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มีคุณสมบัติบำรุงสมอง และป้องกันโรคความผิดปกติของระบบประสาท 2) ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันมะเร็ง กระเทียมดำมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้งานได้ง่าย จึงสามารถป้องกันการเกิดมะเร็งได้เป็นอย่างดี หรือผู้ป่วยมะเร็งในระยะเริ่มแรก หากกินกระเทียมดำควบคู่ไปกับการรักษาทางการแพทย์ ก็จะทำให้ร่างกายมีการฟื้นฟูเร็วขึ้นและมีโอกาสที่จะหายขาดจากโรคมะเร็งได้เช่นกัน 3) ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานของร่างกาย ด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์และสารต้านอนุมูลอิสระในกระเทียมดำ จึงช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและความแข็งแรงให้กับร่างกายได้อย่างดี 4) การควบคุมโรคภูมิแพ้ กระเทียมดำช่วยบรรเทาอาการ ภูมิแพ้ทางจมูกหรือผิวหนัง จากการศึกษายังพบว่ากระเทียมดำยังมีสรรพคุณในการหยุดยั้งยีนซึ่งเป็นสาเหตุของอาการอักเสบและปฏิกิริยาภูมิแพ้ และยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันจากการมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระมาก กระเทียมดำยังถูกจัดเป็นปฎิชีวนะตามธรรมชาติซึ่งมีคุณสมบัติในการฆ่าแบคทีเรีย ไวรัส เรื้อรา และเชื้อโรคโดยจะไม่ทำลายเซลล์จุลินทรีย์ในลำไส้ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ดังเช่น ยาปฎิชีวนะทั่วไป 5) ช่วยลดไขมันในเลือด กระเทียมดำมีส่วนช่วยในการลดไขมันในเลือด จึงลดความเสี่ยงหลอดเลือดอุดตันได้ดี และป้องกันการเกิดลิ่มเลือดที่จะช่วยลดโอกาสการเป็นโรคหัวใจขาดเลือด หัวใจวายหรือภาวะหลอดเลือดในสมองตีบตันได้เช่นกัน 6) ลดคลอเรสเตอรอล สารประกอบ S-allylcysteine (SAC) ที่ถูกสร้างขึ้นขณะบ่ม มีหน้าที่ช่วยในการปรับความสมดุลของคอเลสเตอรอล และมีงานวิจัยพบว่าช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งอีกด้วย อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการเผาผลาญสารอาหารต่างๆ ให้ง่ายขึ้นได้ด้วย 7) ช่วยฟื้นฟูความเมื่อยล้า เพิ่มพลังงาน ทำให้การนอนหลับดีขึ้น กระเทียมดำจะทำให้ร่างกายเกิดความผ่อนคลาย ลดความเครียดได้ในระดับหนึ่ง จึงทำให้นอนหลับง่ายขึ้นและหลับสนิทตลอดคืนอีกด้วย 8) ลดการหลั่งน้ำย่อย กระเทียมดำบรรเทาโรคกระเพาะ ลดการอักเสบในระบบทางเดินอาหารช่วยป้องกันไวรัส Norovirus สาเหตุของการอักเสบของระบบทางเดินอาหาร 9) ลดความดันโลหิต กระเทียมดำมีส่วนช่วยในการลดความดันโลหิต ซึ่งจะทำให้ความดันอยู่ในระดับปกติมากขึ้น โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง การกินกระเทียมดำบ่อยๆ ก็จะช่วยควบคุมระดับความดันและทำให้ผู้ป่วยหายเป็นปกติเร็วขึ้นอีกด้วย และในขณะเดียวกันก็ไม่เหมาะกับผู้ที่มีความดันต่ำเช่นกัน 10) ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา กระเทียมดำสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อราได้ดี โดยเฉพาะเชื้อราที่ก่อให้เกิดโรคผิวหนังและภาวะตกขาวผิดปกติในผู้หญิง 11) บำรุงผิวให้ดูอ่อนเยาว์กระเทียมดำมีสารที่จะทำหน้าที่ในการต่อต้านริ้วรอย จึงช่วยบำรุงผิวให้ดูอ่อนเยาว์กว่าวัยและสามารถลดเลือนริ้วรอยให้ดูจางลงได้ 12) ช่วยควบคุมโรคเบาหวาน สารต้านอนุมูลอิสระที่อยู่ในกระเทียมดำสามารถลดภาวะเครียดที่
จากการได้เข้าร่วมงานประชุมวิชาการระดับชาติ รวมทั้งได้นำเสนอผลงานทางวิชาการ ในรูปแบบภาคโปสเตอร์สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หัวข้อ การเตรียมเอนไซม์อาหารสัตว์จากก้อนเพาะเห็ดเก่าเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ของอาหารสัตว์เศรษฐกิจในท้องถิ่น ประจำปี พ.ศ. 2561 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 11-13 ธันวาคม 2561 ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา มหาวิทยาลัยแม่โจ้
12