ภาษาเป็นเครื่องมือสื่อสารของมนุษย์ มนุษย์เป็นผู้กำหนดภาษาขึ้นเพื่อใช้ในการสื่อความหมายระหว่างกัน ภาษาจึงเป็น ตัวกลางในการสื่อสาร บอกเล่าเรื่องราว ถ่ายทอดความรู้สึก และแสดงความคิด ความต้องการของบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่งโดยผ่านช่องทางทางการสื่อสารทั้ง 4 ซึ่งได้แก่ การฟัง การพูด การอ่านและการเขียน ภาษาที่มนุษย์ใช้ในการติดต่อสื่อสารนั้นแบ่งออกเป็น 2 ประเภทได้แก่ ภาษาถ้อยคำหรือคำพูดและภาษาที่ไม่ใช่ถ้อยคำ
ภาษาถ้อยคำหรือคำพูด
ภาษาถ้อยคำหรือคำพูด (verbal) หมายถึง เสียงพูดของมนุษย์ที่มีการตกลงกันเพื่อให้ทำหน้าที่แทนมโนภาพของสิ่งต่าง ๆ เช่น
คนไทยมีการตกลงกันว่าจะใช้เสียงพูดว่า “หมา” แทนมโนภาพของสิ่งมีชีวิตสิ่งหนึ่งซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มีสี่ขา มีขนปกคลุมทั่วตัว และเห่าเสียงดังโฮ่ง โฮ่ง ในขณะที่ชาวอังกฤษตกลงกันว่าจะใช้เสียงพูดว่า “ด็อก” และคนจีนตกลงใช้เสียงพูดว่า “โก่ว” แทนมโนภาพของสิ่งเดียวกันนี้ ทั้งนี้ภาษาถ้อยคำหรือคำพูดยังรวมถึงเครื่องหมายแทนเสียงพูดหรือภาษาเขียนของชนชาติต่าง ๆ ด้วย
ภาษาที่ไม่ใช่ถ้อยคำ
ภาษาที่ไม่ใช่ถ้อยคำ (non verbal) หมายถึงกริยาอาการ น้ำเสียง รวมถึงสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ แวดล้อมตัวผู้ส่งสารหรือผู้พูด
เช่น สถานที่ และเวลา เป็นต้น ภาษาที่ไม่ใช่ถ้อยคำแบ่งออกเป็น 7 ประเภทได้แก่
1. ภาษาสถานที่
คือภาษาที่สื่อความหมายจากสถานที่ การจัดสถานที่และระยะห่าง เช่น
เมื่อเดินเข้าไปในสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งที่ทางเข้ามีการตกแต่งด้วยซุ้มดอกไม้
ภายในห้องมีโต๊ะกลมที่จัดเป็นแถว โต๊ะทุกตัวปูด้วยผ้าปูโต๊ะสีอ่อน รอบ ๆ
โต๊ะแต่ละตัวมีเก้าอี้วางอยู่ประมาณ 10 ตัว
บนเวทีมีเจ้าหน้าที่กำลังติดตัวอักษรข้อความ “วันนี้ที่รอคอย”
และ “ชญาดา ♥ เกริกพล”
ตามลำดับ สถานที่และการจัดสถานที่ข้างต้นจะบอกให้เราทราบว่า
ที่นี่เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงฉลองมงคลสมรส เป็นต้น
2. ภาษาเวลา
คือภาษาที่สื่อความหมายมาจากเรื่องของเวลา เช่น ประมาณตีสองของคืนหนึ่ง
เราได้ยินเสียงโทรศัพท์ดัง เมื่อยกหูโทรศัพท์ขึ้น
เราได้ยินเสียงของเพื่อนสนิทที่ไม่ได้ติดต่อกันมานานหลายเดือน
เวลาที่เกิดเหตุการณ์จะสื่อความหมายถึงเราว่า อาจเกิดเรื่องร้าย
หรือมีเหตุด่วน (ที่ไม่น่าจะปรกตินัก)
หรือการนัดใครสักคนแล้วคนที่ถูกนัดไปตรงเวลานัดหมาย
ก็แสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญ ให้เกียรติ และให้ความเคารพผู้นัด รวมทั้งยังแสดงถึงความมีวินัยของผู้ถูกนัดอีกด้วย
3. ภาษาตา
คือภาษาที่สื่อความหมายจากการใช้สายตาและแววตา เช่นเมื่ออาจารย์ถามคำถาม และมองไปรอบ ๆ ห้อง พบว่านักเรียนบางคนหลบสายตา ซึ่งอาจสื่อความหมายว่า “ตอบคำถามไม่ได้” หรือ “อย่าเรียกหนูนะคะ”
นอกจากนั้นบางครั้งเราสามารถสังเกตเห็นอารมณ์ของคู่สนทนาหรือบุคคลอื่นจากการแสดงออกทางแววตาด้วย
เช่น สื่อมวลชนและผู้ชมโทรทัศน์สังเกตเห็นความสุขจากใบหน้าและแววตาของหาญ หิมะทองคำ และปู มัณฑนา โห่ศิริ
ตลอดเวลาที่ทั้งสองแถลงข่าวการหมั้นและการแต่งงาน
หรือเราสามารถรับรู้ถึงความรักและความห่วงใยของแม่จากสายตาและแววตาที่แม่มองดูลูก
4. ภาษาสัมผัส
คือภาษาที่เกิดจากการสัมผัสเพื่อสื่อสารความรู้สึก อารมณ์ และความปรารถนาที่อยู่ในใจของผู้ส่งสารไปยังผู้รับสาร
เช่น การโอบกอดเมื่อต้องการปลอบโยน หรือการจับมือแล้วบีบเมื่อต้องการให้กำลังใจ
นอกจากนั้นเรายังสามารถคาดคะเนความสัมพันธ์ของบุคคลได้จากการใช้ภาษาสัมผัสด้วย
เช่น เมื่อเราเห็นชายหนุ่มและหญิงสาวคู่หนึ่งเดินจูงมือกันอยู่ในสวนสาธารณะ
เราอาจคะเนได้ว่า ทั้งสองเป็นคู่รักกัน
5. ภาษาท่าทาง
คือภาษาที่เกิดจากการเคลื่อนไหวร่างกาย ได้แก่ศีรษะ แขนขา และลำตัว
เช่น การไหว้แสดงความเคารพ การส่ายศีรษะแสดงการปฏิเสธ การกวักมือเรียกให้เข้ามาหา
การชี้บอกทิศทาง หรือการยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูบ่อย ๆ แสดงว่าจะรีบไป เป็นต้น
6. ภาษาวัตถุ
คือภาษาที่เกิดจากการใช้และการเลือกใช้วัตถุสิ่งของ
เช่น เครื่องแต่งกายเครื่องประดับ สามารถบอกสถานภาพทางสังคม รสนิยม และอุปนิสัยของบุคคลได้
นอกจากนั้นวัตถุหรือวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการตกแต่งสถานที่ก็สามารถสื่อความหมายถึงราคาค่าเช่า
หรือราคาซื้อขายของสิ่งของหรือสถานที่นั้นด้วย
7. ภาษาน้ำเสียง
คือการสื่อความหมายจากน้ำเสียงที่ประกอบอยู่ในถ้อยคำ
เช่น ปกติแล้วลลิตาเป็นคนพูดเบา น้ำเสียงไพเราะน่าฟัง อยู่มาวันหนึ่ง
มีคนมาพบลลิตาที่ห้องทำงาน เพื่อนร่วมงานของลลิตากลับได้ยินเสียงพูดของลลิตาที่ดังมาก
เสียงที่ดังนั้นอาจสื่อความหมายว่า ลลิตากำลังไม่พอใจ หรือกำลังโกรธ
หรือในกรณีของเด็กชายกร ที่วิ่งออกมาจากบ้านร้าง
และละล่ำละลักเล่าให้ฟังถึงสิ่งที่ได้พบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ และพูดติด ๆ ขัด ๆในบางช่วง
สื่อความหมายว่าเด็กชายกรกำลังตื่นเต้นหรือตกใจ เป็นต้น
ความสำคัญของภาษาที่ไม่ใช่ถ้อยคำในกระบวนการสื่อสาร
ภาษาที่ไม่ใช่ถ้อยคำมีบทบาทสำคัญเทียบเท่าภาษาถ้อยคำในกระบวนการสื่อสาร เพราะภาษาทั้ง 2 ประเภทนี้มักจะไม่แยกจากกัน แต่จะมีความสัมพันธ์กันในลักษณะใดลักษณะหนึ่งเสมอ ความสัมพันธ์ของภาษาถ้อยคำและภาษาที่ไม่ใช่ถ้อยคำแบ่งออกเป็น 6 ลักษณะ
ดังต่อไปนี้
1. แสดงซ้ำ (repeating)
คือการใช้ภาษาที่ไม่ใช่ถ้อยคำสื่อความหมายซ้ำกับถ้อยคำหรือคำพูดที่กล่าวออกไป
เช่น ใช้มือชี้ที่หน้าต่าง ขณะที่พูดว่า “ตรงนี้มีตุ๊กแก”
หรือ การพยักหน้าในขณะที่พูดว่า “ใช่” และการส่ายหน้าในขณะที่พูดว่า “ไม่ใช่”
2. ขัดแย้ง (contradicting)
คือการสื่อสารด้วยภาษาที่ไม่ใช่ถ้อยคำในลักษณะที่ไม่คล้อยตามคำพูด
เช่น ครูถามนักเรียนคนหนึ่งที่กำลังนั่งตาปรือว่า”ง่วงหรือ” แต่นักเรียนตอบว่า “ไม่ค่ะ”
หรือในกรณีผู้บังคับบัญชาของณิชภัทร์พูดกับณิชภัทร์ในเช้าวันหนึ่งว่า “วันนี้แต่งตัวทันสมัยนะคะ” ด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมและสีหน้าเคร่งเครียด
น้ำเสียงและสีหน้าของผู้พูดสื่อความหมายในเชิงตำหนิมากกว่าชื่นชม เป็นต้น
3. ทดแทน (substituting)
คือการสื่อสารด้วยภาษาที่ไม่ใช่ถ้อยคำในลักษณะแทนคำพูด ซึ่งอาจเกิดในกรณีที่ผู้ส่งสารไม่อยู่ในภาวะที่จะใช้ถ้อยคำได้หรืออาจใช้ถ้อยคำได้แต่เลือกที่จะใช้การสื่อสารที่ไม่ใช้ถ้อยคำเนื่องจากเหตุผลบางประการ
เช่นอรชุมาต้องการจะบอกให้ปารวีมองไปที่ชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งกำลังเดินผ่านหน้าเธอทั้งสองไป
แต่ไม่กล้าบอกตรง ๆ เพราะเกรงจะเป็นการเสียมารยาท อรชุมาจึงใช้วิธี ดึงแขนของปารวี
แล้วเมื่อปารวีมองมาที่เธอ เธอก็ใช้สายตามองไปที่ชายหนุ่มคนนั้น เพื่อให้ปารวีมองตาม เป็นต้น
4. ขยายความ (complementing)
คือ การใช้ภาษาที่ไม่ใช่ถ้อยคำบางอย่าง ทำหน้าที่ขยายความหรือเสริมให้ถ้อยคำที่พูดมีความสมบูรณ์หรือชัดเจนขึ้น
เช่น นักศึกษาทำท่าอายหรืออึกอัก เมื่อถูกอาจารย์ถามถึงผลการเรียน
ท่าทางของนักศึกษาสื่อความหมายให้อาจารย์คาดคะเนได้ว่า “ผลการเรียนคงไม่ดีนัก”
หรือ กรณีอาจารย์มองไปยังนักศึกษากลุ่มหนึ่งที่กำลังคุยกันอยู่
และพูดว่า “คนที่ไม่พร้อมจะเรียนก็ขอเชิญให้ออกไปนอกห้อง”
การมองของอาจารย์จะสื่อความหมายถึงนักศึกษากลุ่มที่ถูกมองว่า “อาจารย์หมายถึงพวกตน”
5. เน้น (accenting)
คือการใช้ภาษาที่ไม่ใช่ถ้อยคำบางอย่างทำหน้าที่ย้ำหรือเน้นภาษาถ้อยคำ
เช่น อาจารย์เน้นเสียงดังเพื่อย้ำข้อความขณะที่พูดสั่งสอนนักศึกษา
หรือการเขย่าตัวลูกเพื่อย้ำให้ลูกปฏิบัติตามสิ่งที่พูด เป็นต้น
นอกจากนั้นการเน้นเพื่อย้ำข้อความยังนิยมใช้ในภาษาเขียนอีกด้วย เช่น
การเน้นตัวอักษรทึบ การใช้ตัวอักษรที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติ การใช้ตัวอักษรเอน หรือการขีดเส้นใต้ เป็นต้น
6. ดำเนินการสนทนา (regulating)
คือการใช้ภาษาที่ไม่ใช่ถ้อยคำบางอย่างเพื่อทำให้การสนทนาดำเนินต่อไปจนกระทั่งบรรลุเป้าหมาย
เช่น การแสดงความสนใจโดยการทอดสายตามองผู้พูด การพยักหน้าแสดงการเห็นด้วย
การยกมือขอพูดหรือแสดงความคิดเห็น เป็นต้น
สรุป
จากความสัมพันธ์ของภาษาถ้อยคำและภาษาที่ไม่ใช้ถ้อยคำข้างต้น ทำให้เราเห็นว่า การใช้ภาษาของมนุษย์มีความซับซ้อน น่าสนใจ และ น่าติดตาม บางครั้งเป็นการใช้ในลักษณะคล้อยตามกัน แต่บางครั้งกลับใช้ในลักษณะขัดแย้งกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับความตั้งใจหรือเจตนาของผู้ส่งสาร ฉะนั้นเมื่อเราได้รับสารจากบุคคลอื่น เราจำเป็นต้องตีความหมายสิ่งอื่นนอกเหนือจากคำพูดที่ได้ยินด้วย เพื่อจะได้รู้ความหมายที่แท้จริงของสารที่ส่งมา ลองสังเกตการใช้ภาษาของตัวท่านและคนรอบข้างดู แล้วท่านจะพบว่าคนเราใช้ภาษาที่มากกว่าถ้อยคำจริง ๆ
*******************************************
บรรณานุกรม
คณาจารย์ภาควิชาภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย.(2541). ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร.
กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ดอกหญ้า.
สวนิต ยมาภัย.(2540). เอกสารการสอนชุดวิชาการใช้ภาษาไทย หน่วยที่ 1.นนทบุรี :สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.