การใช้ Flow Cytometry ในการศึกษาโครโมโซมในเซลล์พืช
การศึกษาโครโมโซมในเซลล์พืชแต่ละชนิด จะใช้เทคนิคในการตรวจนับจำนวนโครโมโซมที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน อาจมีการดัดแปลงวิธีการในบางขั้นตอนเพื่อให้เหมาะสมกับชนิดของพืชชนิดนั้นๆ โดยมากจะนำเนื้อเยื่อเจริญบริเวณปลายราก ปลายยอด หรือดอกอ่อน มาใช้ในการศึกษา ซึ่งจะนำมาแช่ในสารละลายโคลชิซีน หรือ 8-hydroxyquinoline และตรึงในน้ำยา fixative (ethanol 3 ส่วน : acetic acid 1 ส่วน) จากนั้นนำไปย้อมสี aceto-orcein กดทับบนสไลด์ และตรวจนับจำนวนโครโมโซมภายใต้กล้องจุลทรรศน์ วิธีนี้มีข้อดีคือประหยัด ราคาถูก แต่ก็มีข้อเสียคือ ไม่สามารถนับจำนวนโครโมโซมได้ในทุกเซลล์ เนื่องจากในการนับจำนวนต้องอาศัยเซลล์ที่อยู่ในระยะเมทาเฟส ซึ่งทำได้ยาก และต้องใช้ฝีมือในการเตรียมสไลด์เป็นอย่างดี จึงจะสามารถเห็นโครโมโซมได้ และในพืชที่มีโครโมโซมขนาดเล็กมาก จะมีความลำบากในการนับ วิธีการแก้ไขปัญหาดังกล่าว งานวิจัยทางพืชในปัจจุบันจึงได้มีการนำเอาเทคนิคการตรวจนับจำนวนโครโมโซมโดยใช้เครื่อง Flow cytometry เข้ามาช่วย
Flow cytometry เป็นวิธีการที่ใช้ในการตรวจวิเคราะห์เซลล์ ด้วยการฉายแสงเลเซอร์ลงสู่เซลล์ที่ผ่านการย้อมสารเรืองแสง แล้ววัดการเรืองแสงที่เกิดขึ้นบนผิวเซลล์หรือภายในเซลล์ โดยแต่ละเซลล์จะถูกบีบให้เคลื่อนที่ผ่านเครื่องทีละ 1 เซลล์ หรือเป็นเซลล์เดี่ยวๆ เทคนิคนี้มีความไวสูง และสามารถตรวจวัดเซลล์ได้เป็นจำนวนมากด้วยความรวดเร็ว เครื่องจะทำการแปลสัญญาณแสงที่หักเห และสะท้อนกลับ ออกมาเป็นกราฟ การอ่านผลจะต้องเปรียบเทียบกับกราฟมาตรฐาน จึงจะสามารถบอกความแตกต่างของตัวอย่างได้ มีการประยุกต์ใช้เทคนิค Flow cytometry ในงานต่างๆ เช่น การตรวจหาความผิดปกติในโครโมโซม การตรวจหาเซลล์มะเร็งเพื่อติดตามผลการรักษา การตรวจหา Autoantibodies บนผิวเซลล์ในโรค Autoimmune ต่างๆ การทดสอบประสิทธิภาพของยาที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย เป็นต้น สำหรับงานวิจัยทางพืชได้มีการนำ Flow cytometry มาใช้ในการศึกษาปริมาณ DNA และจำนวนชุดโครโมโซมในกล้วยไม้ โดยนำเนื้อเยื่อจากใบอ่อน ดอก และราก มาตัดเป็นชิ้นเล็กๆ เพื่อทำให้นิวเคลียสหลุดออกมาจากเซลล์ นำนิวเคลียสไปย้อมสารสีเรืองแสง และตรวจวัดปริมาณ DNA โดยใช้เครื่อง Flow cytometry จะพบว่าพืชที่มี 4n จะมีปริมาณ DNA เป็น 2 เท่า ของพืชที่มี 2n ซึ่งการวัดด้วยวิธีนี้จะมีความรวดเร็วและแม่นยำสูง