“นักบินอวกาศหญิงคนแรกของไทย”
...เมื่อมีความฝันก็จะมีแรงดลบันดาลใจ อยู่ที่ใจว่าจะสู้หรือไม่.....
โดย ปาณิศา คงสมจิตต์
นักเอกสารสนเทศ : ห้องสมุดคณะผลิตกรรมการเกษตร
เห็นสื่อออนไลน์ สื่อโทรทัศน์และสื่อหนังสือพิมพ์หลายฉบับ โปรยหัวข่าวเกี่ยวกับผู้หญิงไทยคนแรกที่จะสร้างประวัติศาสตร์ให้กับประเทศไทย ในฐานะที่จะได้ขึ้นไปท่องอวกาศโดยผู้หญิงคนนี้มีชื่อว่า “พิรดา เตชะวิจิตร์” เป็น 1 ในจำนวน 23 คนที่ถูกคัดแล้วคัดอีกจากผู้คนนับล้านทั่วโลกที่สมัครเข้าร่วมในโครงการนี้ ซึ่งแต่ละคนก็มีความใฝ่ฝันอยากจะได้ขึ้นไปท่องบนอวกาศกัน
สำหรับ พิรดา เตชะวิจิตร์ มีชื่อเล่นว่ามิ้งค์ วัย 29 ปีเศษ เป็นชาวจังหวัดลำปาง ปัจจุบันเป็นวิศวกรดาวเทียม ประจำสำนักงานเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสนเทศหรือที่รู้จักกันดีในนามจิสด้า(Gistda) ทำหน้าที่ติดต่อสื่อสารกับดาวเทียมไทยโซตหรือดาวเทียม THEOS ซึ่งเป็นดาวเทียมสำรวจทรัพยากร ธรรมชาติของประเทศไทยโดยดูทั้งภาคพื้นดินและบนดาวเทียม สำหรับใช้เป็นข้อมูลสำคัญในการวางแผนบริหารประเทศในอนาคต
จากการที่ทำงานด้านดาวเทียมและมีความชอบด้านเทคโนโลยี พัฒนาไปเป็นความคลั่งไคล้เรื่องอวกาศจนเกิดความฝันแรงกล้าว่าสักวันจะต้องเป็นมนุษย์อวกาศให้ได้ ทำให้พิรดาเกิดแรงบันดาลใจและพร้อมที่จะผลักดันความฝันของเธอให้เป็นจริงเมื่อ “แอ๊กซ์ อพอลโล่” ได้จัดกิจกรรมโครงการที่มีไปทั่วโลกกว่า 62 ประเทศ เพื่อทำการคัดเลือกคนไปอวกาศ มีผู้คนสนใจสมัครเข้าร่วมโครงการนี้มากกว่าล้านคน ผ่านกิจกรรม 3 ช่องทาง คือ
1.ส่งรหัสผลิตภัณฑ์แอ๊กซ์เข้าร่วมชิงโชค
2.ทำคลิปเพื่อส่งเข้าประกวด
3.สมัครเข้าร่วมแข่งขันแฟนพันธุ์แท้อพอลโล่
ซึ่งพิรดากลัวว่าจะพลาดจึงเข้าร่วมกิจกรรมทั้ง 3 ช่องทาง จนเมื่อเข้าแข่งขันและชนะได้เป็นแฟนพันธุ์แท้แล้วก็จะต้องไปแค้มป์ที่รัฐฟลอริด้าเพื่อเข้าคัดเลือกอีกในระดับหนึ่ง ก่อนไปแคมป์ก็ได้มีโอกาสฝึกซ้อมเตรียมตัวกับทางกองทัพอากาศของไทยด้วยการไปฝึกเหมือนที่นักบินต้องฝึก เช่น เข้าห้องปรับความดันหรือเก้าอี้ดีดตัวที่ใช้กับนักบิน มีการเรียนรู้เกี่ยวกับสรีระทางด้านร่างกายที่มีผลกระทบเกี่ยวกับความสูง แรงดันอากาศของเครื่องบินที่นักบินจะต้องรู้ มีการเตรียมพร้อมทั้งด้านจิตใจและร่างกาย โดยด้านจิตใจก็มีการฝึกบินกับนักบินเพื่อทดสอบสภาพจิตใจว่าดีหรือไม่เพราะเวลาขึ้นไปในอวกาศจะมีความกดดันหลายอย่าง รวมทั้งมีสภาวะไม่ได้เหมือนอยู่บนโลกซึ่งต้องมีจิตใจที่เข้มแข็ง ส่วนทางด้านร่างกายจะต้องเตรียมตัวให้ร่างกายแข็งแรงเนื่องจากการขึ้นไปอวกาศจะต้องมีการเกร็งตัว ฝึกให้ทนแรงจีซึ่งจะทำให้เลือดตกลงมาที่เท้ามาก ฉะนั้นร่างกายต้องแข็งแรงต้องมีการสร้างกล้ามเนื้อเพื่อที่จะไม่ให้เลือดไหลตกลงไปที่เท้ามากเกินไป
สำหรับการฝึกนักบิน จะฝึกให้นักบินทนต่อแรงจี ( G = gravity หมายถึง แรงโน้มถ่วงของโลกขณะจรวดทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าเร่งความเร็วให้ถึงความเร็วหลุดพ้นนั้น นักบินอวกาศจะถูกกดลงกับพื้นด้วยแรงอันเกิดจากการที่จรวดเร่งความเร็วทำให้รู้สึกว่ามีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น 4 ถึง 5 เท่า ถ้าจะยืนอยู่คงทนไม่ได้ นักบินอวกาศจึงต้องครึ่งนั่งครึ่งนอนหันหน้าสู่ทิศที่จรวดพุ่งขึ้นไป ทั้งนี้นักบินอวกาศต้องได้รับการฝึกเพื่อให้ทนต่อแรงจีนี้โดยมีอุปกรณ์การฝึกเป็นโครงเหล็กเหวี่ยงห้องฝึกหมุนไปอย่างเร็ว ให้นักบินอวกาศอยู่ในห้องฝึกนั้น ฝึกให้ทนต่อสภาพไร้น้ำหนัก เมื่อยานอวกาศโคจรรอบโลกจะเกิดสภาพไร้น้ำหนักในอวกาศเป็นสภาพที่ไม่เหมือนบนพื้นโลก สภาพนี้คือสภาพที่เหมือนไม่มีแรงโน้มถ่วงกระทำต่อทุกสิ่งในยานอวกาศ เมื่ออยู่ในสภาพไร้น้ำหนักของใช้ที่จับมาวางตรงหน้าจะลอยอยู่ได้แม้แต่ตัวนักบินอวกาศเองก็ลอยไปมาได้ การบังคับตัวเองไม่ให้หมุนคว้างไปชนอะไรจึงต้องมีการฝึกหัดโดยมีการฝึกบนเครื่องบินที่บินโค้งเป็นครึ่งวงกลมอย่างหนึ่งและฝึกในอ่างน้ำขนาดใหญ่อีกอย่างหนึ่งซึ่งนักบินอวกาศจะสวมชุดพิเศษลงไปอยู่ในน้ำ ชุดนี้จะพยุงให้ตัวนักบินอวกาศมีความหนาแน่นเท่ากับน้ำพอดีจึงสามารถล่องลอยไปในน้ำได้เหมือนกับสภาพไร้น้ำหนักที่จะเกิดในอวกาศนั้น
พิรดาบอกว่าตอนไปแค้มป์ที่รัฐฟลอริด้า ก็มีคณะกรรมการ 3 ท่าน คือ บัซ อัลดริน นักบินอวกาศตัวจริงผู้ลงเหยียบดวงจันทร์เป็นคนที่ 2 ต่อจากนีล อาร์มสตรอง , วิศวกรฝ่ายเทคนิคด้านยานอวกาศ , ตัวแทนจากบริษัทสเปซเอ็กซ์เพอดิชั่น คอร์เปอเรชั่น บริษัทผู้จัดจำหน่ายไฟลต์ที่นั่งขึ้นไปสู่อวกาศ
การคัดเลือกก็ใช้ 3 ปัจจัยหลักในการตัดสิน นั่นคือ ความกล้าหาญ ความกระตือรือร้น และการทำงานเป็นทีมเวิร์กโดยใช้ 3 ภารกิจหลักในการทดสอบ ได้แก่
ภารกิจแรก - Hero Mission ( G Force Centrifuge ) เป็นการทดสอบแรงจีด้วยเครื่องเหวี่ยงเพื่อทดสอบว่าทนแรงเหวี่ยงได้หรือไม่ เพราะว่าเมื่อมีแรงจีเลือดจากสมองจะตกลงไปที่เท้ามาก จึงต้องมีการเกร็งตัวเพื่อไม่ให้เลือดตกลงไปที่เท้ามาก
ภารกิจที่สอง - Air combat เป็นการนั่งเครื่องบินตัวต่อตัวกับนักบินแล้วนักบินจะขับเครื่องบินแบบตีลังกาเพื่อจะดูว่ากลัวความสูงหรือไม่และทนแรงจีได้หรือไม่
ภารกิจที่สาม - Zero G Flight เป็นการสร้างสภาวะไร้แรงโน้มถ่วงโดยการนำเครื่องบินขึ้นไปแล้วทำเสมือนกับว่าเครื่องบินตกโดยที่เราจะตกลงมาพร้อมกับเครื่องบิน ทำให้เราไม่มีแรงโน้มถ่วงเป็นสภาวะที่ทดสอบว่าสามารถปรับตัวได้หรือไม่รวมทั้งมีความกลัวหรือไม่เพราะว่าในอวกาศจะมีช่วงที่อยู่ในสภาพไร้น้ำหนัก ไม่มีแรงโน้มถ่วง
นอกจากนั้นยังต้องฝ่าฟันภารกิจอื่นๆ ที่อยู่ในกระบวนการทดสอบมีทั้งการปีนเขาจำลอง ฝึกข้ามรั้ว ซิทอัพ 50 ครั้ง วิดพื้น 50 ครั้ง ลอดอุโมงค์ ฯลฯในหลายภารกิจที่เธอเหนื่อยมากจนรู้สึกท้อ แต่ด้วยจิตใจที่มีความฝันอยู่เต็มเปี่ยมทำให้เธอพยายามอดทนจนสามารถทำภารกิจทุกอย่างได้สำเร็จในที่สุด หญิงสาวไทยที่ชื่อพิรดากลายเป็น 1 ในจำนวน 23คน ที่ได้ถูกคัดเลือกให้ไปท่องอวกาศ จากจำนวนผู้เข้าร่วมแข่งขันในรอบท้ายนี้ที่ถูกคัดเลือกเข้ามาอีกจำนวน 107 คนจากทั่วโลก
“พิรดา เตชะวิจิตร์” จะได้เดินทางไปยังอวกาศด้วยเครื่องบิน ลิงค์ มาร์ค ทู ซึ่งเป็นเครื่องบินเจ๊ตลำเล็กที่ถูกออกแบบเพื่อนำคนไปท่องอวกาศของบริษัทเอ็กซ์คอร์ ซึ่งเป็นบริษัทนำนักท่องเที่ยวนั่งเครื่องบินไปทัวร์อวกาศโดยจะขึ้นเครื่องบินไปกับนักบินอวกาศตัวต่อตัวด้วยความเร็ว 3,552 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยใช้เวลาเพียง 3 นาที่ครึ่งเท่านั้นเครื่องบินก็จะทะยานสู่ชั้นบรรยากาศที่ความสูง 103 กิโลเมตร จากระดับน้ำทะเลซึ่งการขึ้นไปถ้าเกิน 100 กิโลเมตร จากระดับน้ำทะเลไปแล้วก็จะถือว่าเป็นอวกาศ
เมื่อขึ้นไปแล้วจะค้างอยู่บนอวกาศนานประมาณ 6 นาทีเพื่อให้เก็บภาพและสัมผัสบรรยากาศด้วยสองตา ได้เห็นโลกในมุมมองที่นับแต่มีประวัติศาสตร์แห่งมนุษยชาติบนโลกนี้...มีเพียงแค่ 500 คนเท่านั้นที่เคยมีโอกาสไปพบเห็น จะได้เห็นโลกสีฟ้าทั้งใบ ก่อนจะพากลับมายังพื้นโลก...จะใช้เวลาตั้งแต่ออกจากภาคพื้นดินขึ้นไปอวกาศแล้วกลับมาจอดทั้งหมดประมาณ 1 ชั่วโมงและจะออกเดินทางในปี พ.ศ.2558 นี้ ซึ่งไฟลต์เดินทางกำลังอยู่ในช่วงของการทดสอบ
หากเมื่อถึงเวลานั้น....ชื่อของ “พิรดา เตชะวิจิตร์ ” ก็จะถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าเป็นนักบินอวกาศคนแรกของไทย