การอบรม “การเตรียมความพร้อมเพื่อขอตำแหน่งทางวิชาการ” จัดขึ้นเพื่อเสริมความเข้าใจและเพิ่มศักยภาพให้คณาจารย์ที่ต้องการเติบโตในสายอุดมศึกษา จัดขึ้นเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 ณ โรงแรมแคนทารีฮิลล์ เชียงใหม่ เนื้อหาสำคัญที่บรรยายโดย ศาสตราจารย์ ดร.ดิเรก ปัทมสิริวัฒน์ ได้ถ่ายทอดผ่านตัวอย่างจริง ข้อมูลเชิงประจักษ์ และข้อคิดเชิงกลยุทธ์อย่างลุ่มลึกเกี่ยวกับการทำงานวิชาการ การสร้างผลงานที่มีคุณภาพ และการเตรียมตัวสู่ตำแหน่ง ผศ./รศ./ศ. อย่างเป็นระบบ ได้แก่
- ความเข้าใจต่อเกณฑ์และเงื่อนไข คือจุดเริ่มต้นสำคัญ
องค์ความรู้แรกที่เน้นย้ำ คือการทำความเข้าใจ “เงื่อนไขผลงานที่นับได้” และ “มาตรฐาน” ของผลงานในแต่ละระดับ ไม่ว่าจะเป็นบทความวิจัย บทความวิชาการ ตำรา หนังสือ หรือผลงานนวัตกรรม โดยเฉพาะคุณภาพของวารสารซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการประเมินผลงาน วารสารที่ผ่านการประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิ (peer review) และมีดัชนีคุณภาพสูง เช่น Scopus Q1–Q2 จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและโอกาสในการพิจารณาตำแหน่งมากขึ้น นอกจากนี้ เงื่อนไขเกี่ยวกับการสอนและการเป็นผู้เขียนหลัก ยังเป็นประเด็นที่คณาจารย์ควรเตรียมตัวล่วงหน้าอย่างรอบคอบ
- งานวิจัยคือฐานรากของการสอนและการเติบโตทางวิชาการ
ข้อความที่วิทยากรกล่าวไว้ว่า “วิจัยคือเสมือนลมหายใจของอาจารย์” สะท้อนบทบาทสำคัญของงานวิจัยในสังคมมหาวิทยาลัยอย่างชัดเจน งานวิจัยที่ดีจะทำให้ผู้สอนสามารถเชื่อมโยงบทเรียนกับสถานการณ์จริง ถ่ายทอดความรู้ได้ทันสมัย และสร้างแรงบันดาลใจให้นักศึกษา ขณะเดียวกัน งานวิจัยยังเป็นสิ่งที่ผลักดันให้อาจารย์ปรับตัว เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และก้าวทันความเปลี่ยนแปลงของสังคม เศรษฐกิจ และเทคโนโลยี
การทำวิจัยทั้งแบบเดี่ยวและแบบทีมถูกแนะนำให้ทำควบคู่กัน เพราะช่วยให้อาจารย์พัฒนาทักษะหลายด้านและเปิดโอกาสในการบูรณาการความรู้ข้ามสาขา
- ความลุ่มลึกของผลงานและเกณฑ์ที่แตกต่างตามระดับตำแหน่ง
หนึ่งในประเด็นสำคัญคือความแตกต่างด้าน “ความลุ่มลึก” ของงานในแต่ละระดับตำแหน่ง
ผศ. ต้องแสดงให้เห็นความถูกต้องของวิธีวิจัยและความครบถ้วนของเนื้อหา
รศ. ต้องมีความริเริ่มใหม่ (originality) พร้อมประโยชน์ต่อสังคมหรือวงวิชาการ
ศ. ต้องสร้างผลงานที่มีอิทธิพลชัดเจน เช่น ผลกระทบเชิงนโยบาย การอ้างอิงระดับสูง หรือการเปลี่ยนแปลงองค์ความรู้ในสาขา
ดังนั้น ผู้ขอตำแหน่งควรพิจารณา “ขนาดของโจทย์วิจัย” ให้เหมาะสมกับระดับตำแหน่ง เช่น หลีกเลี่ยงงานที่แคบเกินไปหรือใช้เฉพาะข้อมูลระดับกลุ่มเล็ก ๆ เพราะมักไม่สะท้อนภาพรวมเชิงนโยบายหรือเชิงระบบตามที่คาดหวังในระดับอุดมศึกษา
- ข้อมูลคุณภาพสูง เครื่องมือเพิ่มพลังให้ผลงานวิจัย
อีกองค์ความรู้สำคัญคือการใช้ข้อมูลจากหน่วยงานรัฐและฐานข้อมูลขนาดใหญ่ เช่น ข้อมูลผู้ประกอบการ VAT ของกรมสรรพากร, ข้อมูลทุนการค้า TSIC ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า, ข้อมูลประชากรรายตำบลจากกระทรวงมหาดไทย, ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ เช่น แรงงาน การท่องเที่ยว สถานประกอบการ ซึ่งแหล่งข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้เกิดงานวิจัยที่มีความน่าเชื่อถือสูง วิเคราะห์ได้ในระดับจังหวัด ภูมิภาค หรือระดับประเทศ ซึ่งเหมาะกับผลงานวิชาการระดับ รศ. และ ศ. เป็นอย่างยิ่ง
- เลือกโจทย์วิจัยที่ “ทำได้ต่อเนื่อง” และสร้างอัตลักษณ์นักวิชาการ
ประเด็นสุดท้ายที่น่าสนใจ คือ คำแนะนำให้เลือกหัวข้อที่สามารถต่อยอดได้ในระยะยาว เช่น ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ การเติบโตเมือง การกระจายความเจริญ หรือพลวัตประชากร เพราะการสะสมงานวิจัยในกลุ่มประเด็นเดียวกันจะช่วยสร้างอัตลักษณ์ทางวิชาการ (Academic Identity) ที่ชัดเจนและเพิ่มน้ำหนักของผลงานต่อการประเมินตำแหน่ง
สรุปปิดท้าย การขอตำแหน่งวิชาการไม่ใช่เพียงกระบวนการทางเอกสาร แต่เป็นการพัฒนาคุณภาพของอาจารย์ทั้งด้านการสอน การวิจัย และการรับใช้สังคม อบรมครั้งนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่ช่วยให้คณาจารย์เห็นทิศทางการเติบโตเชิงวิชาการอย่างเป็นระบบ มั่นคง และสร้างคุณูปการต่อมหาวิทยาลัยในระยะยาว