ความปลอดภัยในห้องปฏิบัติการเคมี
เบญญาภา หลวงจินา
นักวิทยาศาสตร์
ของเสียสารเคมีที่เกิดจากกิจกรรมในห้องปฏิบัติการเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดมลพิษ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพนักศึกษา บุคลากรและสิ่งแวดล้อม การจัดการของเสียสารเคมีอย่างเป็นระบบตามมาตรฐานความปลอดภัย จึงเป็นสิ่งสำคัญที่เกี่ยวข้องกับห้องปฏิบัติการต้องทราบและถือปฏิบัติ เพื่อความปลอดภัย ลดความเสี่ยง และป้องกันการรั่วไหลของเสียสู่สิ่งแวดล้อม
- ระบบจัดการสารเคมี การจัดการของเสียสารเคมีจากห้องปฏิบัติการ มีขั้นตอนดังนี้
การจัดการข้อมูลของเสีย โดยจะต้องมีการจัดการข้อมูลของเสีย การจำแนกประเภทข้อมูลของเสีย การรวบรวมและการจัดเก็บ รวมถึงการบำบัดและการกำจัดของเสีย ดังแผนภาพต่อไปนี้
การรวบรวมการจัดเก็บ มีข้อควรปฏิบัติดังนี้
- จำแนกของเสียให้ถูกต้องตามเกณฑ์จัดเก็บในภาชนะบรรจุที่เหมาะสม
- ตรวจสอบสภาพภาชนะบรรจุอย่างสม่ำเสมอ
- ภาชนะทุกชนิดที่บรรจุของเสียต้องมีฉลากที่เหมาะสมและแสดงข้อมูลครบถ้วน
- ข้อความบนฉลากมีความชัดเจนไม่จางไม่เลือน
- ตรวจสอบสภาพของฉลากบนภาชนะของเสียอย่างสม่ำเสมอ
- ห้ามบรรจุของเสียเกินกว่า80% ของความจุภาชนะ หรือปริมาณของเสียต้องอยู่ต่ำกว่าปากภาชนะอย่างน้อย 1 นิ้ว
- มีการกำหนดพื้นที่/บริเวณจัดเก็บของเสียอย่างชัดเจน
- จัดเก็บ/จัดวางของเสียที่เข้ากันไม่ได้โดยอิงตามเกณฑ์การเข้ากันไม่ได้ของสารเคมี
- มีภาชนะรองรับภาชนะบรรจุของเสียที่เหมาะสม
- ห้ามวางภาชนะบรรจุของเสียใกล้ท่อระบายน้ำใต้หรือในอ่างน้ำ หากจำเป็น ต้องมีภาชนะรองรับ
- ห้ามวางภาชนะบรรจุของเสียใกล้บริเวณอุปกรณ์ฉุกเฉิน
- ห้ามวางภาชนะบรรจุของเสียปิดหรือขวางทางเข้า-ออก
- วางภาชนะบรรจุของเสียให้ห่างจากความร้อนแหล่งกำเนิดไฟและเปลวไฟ
- ห้ามเก็บของเสียประเภทไวไฟมากกว่า38 ลิตรหากจำเป็นต้องเก็บไว้ในตู้สำหรับเก็บสารไวไฟโดยเฉพาะ
- ห้ามเก็บของเสียไว้ในตู้ควันอย่างถาวร
- มีการกำหนดระยะเวลาในการจัดเก็บของเสียในห้องปฏิบัติการ
- กรณีที่ของเสียพร้อมส่งกำจัด (ปริมาตร 80% ของภาชนะ) : ไม่ควรเก็บไว้นานกว่า 90 วัน
- กรณีของเสียไม่เต็มภาชนะ (ปริมาตรน้อยกว่า 80% ของภาชนะ) : ไม่ควรเก็บของเสียไว้นากว่า 1 ปี
การบำบัดและกำจัดของเสีย
ใช้ระบบ 4R
Reduce
- ลดปริมาณการซื้อสารเคมีที่ไม่จำเป็น
- ลดปริมาณการใช้สารเคมีให้น้อยลง
- ลดปริมาณของเสียก่อนการกำจัดให้น้อยลง
- บำบัดของเสียก่อนปล่อยลงระบบน้ำทิ้ง
- บำบัดของเสียก่อนส่งกำจัด เพื่อลดอันตราย
Reuse คือการนำของเสียกลับมาใช้ใหม่โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง
- ทำความสะอาดขวดสารเคมีเก่าแล้วนำกลับไปใช้ใหม่
- นำสารละลายต่างๆมาล้างของ
- นำสารบางประเภทหรือสารใกล้หมดอายุมาท า Spill kit
- ใช้สารเก่าในการ neutralize กรด- เบส ฯลฯ
Replace
- เปลี่ยนการใช้สารเคมีในการทดลองจากสารที่เป็นพิษ เป็นสารที่เป็นมิตร
- เปลี่ยนกระบวนการทดลองที่ก่อให้เกิดพิษ เป็นกระบวนการใหม่ที่ไม่ผ่านวิธีเดิม
- หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีที่เป็นพิษตามเกณฑ์ของ USEPA เช่นbarium arsenic cadmium chromium read mercury selenium silver benzene carbon tetrachloride chloroform dichlorobenzene cresol methyl ethyl ketone nitrobenzene pyridine tetrachloroethylene trichloroethylene trichlorophenol vinyl chloride
- หากเป็นไปได้ ให้ใช้ Ethanol แทน Methanol (Ethanol < 24% w/w in H2O ไม่ถือว่าเป็นสารลุกติดไฟได้)
Recycle คือการนำสารเคมีกลับมาใช้ใหม่โดยที่มีสมบัติทางกายภาพเปลี่ยนไป แต่มีองค์ประกอบทางเคมี
เหมือนเดิม โดยการผ่านกระบวนการต่างๆ เช่น การกลั่นตัวทำละลาย , แก้ว , โลหะมาหลอมใหม่
- ระบบการจัดการสารเคมีของเสียของเสียจากห้องปฏิบัติการ ต้องมีการจัดการอย่างเป็นระบบ
เพื่อป้องกันไม่ให้สารเคมีรั่วไหลสู่สิ่งแวดล้อม
สารบบของเสียสารเคมี ประกอบด้วย
ระบบบันทึกข้อมูล หมายถึง ระบบบันทึกข้อมูลของเสียสารเคมี ที่ใช้ในห้องปฏิบัติการ / หน่วยงาน / องค์กร เพื่อใช้ในการบันทึกและติดตามความเคลื่อนไหวของเสียสารเคมีทั้งหมด
1.1 มีการบันทึกข้อมูลของเสียในรูปแบบ
1.2 โครงสร้างของข้อมูลของเสียที่บันทึก ไม่ว่าใช้รูปแบบใดก็ตาม ควรประกอบด้วย
- ผู้รับผิดชอบ หมายถึง ผู้ผลิต/ผู้ท าให้เกิด/ผู้ดูแล ของเสียในขวดนั้นๆ
- รหัสของภาชนะบรรจุ (Bottle ID)
- ประเภทของเสีย
- ปริมาณของเสีย (Waste volume / Weight)
- วันที่บันทึกข้อมูล (Input date)
- ห้องที่เก็บของเสีย (Storage room)
- อาคารที่เก็บของเสีย (Storage Building)
1.3 การรายงานข้อมูล หมายถึง การรายงานข้อมูลของเสียที่เกิดขึ้นและที่กำจัดทิ้งของห้องปฏิบัติการ/
หน่วยงาน/องค์กร โดยมีการจัดทำให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ พร้อมทั้งสามารถรายงานความเคลื่อนไหว ของของเสียได้ด้วย การรายงานข้อมูลที่ครบวงจรนั้น ต้องครอบคลุมสิ่งต่อไปนี้
- มีรายงานข้อมูลของเสียที่เกิดขึ้น
- มีรูปแบบการรายงานชัดเจน
- ประเภทของเสีย
- ปริมาณของเสีย
- มีรายงานข้อมูลของเสียที่กำจัดทิ้ง
- มีการปรับปรุงข้อมูลเป็นประจำสม่ำเสมอ
- การป้องกันและตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน
การเตรียมความพร้อมและตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน
- มีอุปกรณ์สำหรับตอบโต้ภาวะฉุกเฉินอยู่ในบริเวณที่สามารถเข้าถึงได้สะดวก
- มีแผนป้องกันภาวะฉุกเฉินที่เป็นรูปธรรม
- ซ้อมตอบโต้ภาวะฉุกเฉินที่เหมาะสมกับหน่วยงาน
- ตรวจสอบพื้นที่และสถานที่เพื่อพร้อมตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน
- ตรวจสอบเครื่องมือ/อุปกรณ์พร้อมตอบโต้ภาวะฉุกเฉินอย่างสม่ำเสมอ
- มีขั้นตอนการจัดการเบื้องต้นเพื่อตอบโต้ภาวะฉุกเฉินที่เป็นรูปธรรม
ข้อปฏิบัติเมื่อเกิดอุบัติเหตุในห้องปฏิบัติการ
เมื่อเกิดเพลิงไหม้ / เหตุฉุกเฉิน
ตั้งสติ อย่าตื่นตกใจ ตะโกนบอกเพื่อน/ผู้ร่วมงาน
- อย่าดับเพลิงเองถ้ารู้สึกไม่แน่ใจในวิธีการดับเพลิง
- รีบออกจากอาคารอย่างเป็นระเบียบ
- ส่งต่อข้อมูลสำคัญต่างๆให้กับเจ้าหน้าที่
- ห้ามใช้ลิฟท์ให้ใช้บันไดหนีไฟแทน
- มารวมกันที่จุดรวมรวมพล
- โทรศัพท์แจ้งเหตุไฟไหม้199
สารเคมีหกรั่วไหล
- แจ้งผู้ที่อยู่ใกล้เคียงให้ทราบว่าเกิดสารเคมีหกและอยู่ในอาการสงบ
- ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสารเคมีจากMaterials Safety Data Sheet (MSDS)
- หากเป็นของแข็งให้กวาดไปรวมไว้แล้วทิ้งลงในภาชนะเก็บรวบรวมของเสียที่เหมาะสม
กรณีเครื่องแก้วบาด
- ล้างด้วยน้ำที่ไหลผ่านปริมาณมากเป็นเวลาอย่างน้อย10–15 นาทีหรือจนแน่ใจว่า
ได้ล้างสารเคมีหรือเศษแก้วขนาดเล็กออกแล้ว
- ใช้ผ้าสะอาดกดเพื่อห้ามเลือดจนหยุดไหล
- ใส่ยาใส่แผลแล้วปิดด้วยพลาสเตอร์ปิดแผล
- หากเป็นแผลใหญ่รีบพาไปพบแพทย์
กรณีสารเคมีหกรดร่างกาย
- ถอดเสื้อผ้าบริเวณที่เปื้อนสารเคมีออกโดยเร็ว
- เช็ดหรือซับสารเคมีที่หกรดออกให้มากที่สุดโดยเร็ว
- กรณีสารละลายน้ำแต่ไม่ทำปฏิกิริยากับน้ำล้างบริเวณที่สารหกรดด้วยน้ำไหลปริมาณมากๆเป็นเวลาอย่างน้อย 10 นาที หรือจนแน่ใจว่าชำระล้างสารออกหมดแล้ว หากสารไม่ละลายน้ำให้ล้างด้วยสบู่ ใช้อ่างน้ำ หรือ Safety shower ที่อยู่ใกล้ที่สุด
- ในกรณีที่รุนแรงควรพบแพทย์ทันที
- อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล
อุปกรณ์ปกป้องส่วนบุคคล (Personal Protective Devices (PPD) หรือ Personal Protective Equipment (PPE)) หมายถึง อุปกรณ์สำหรับผู้ปฏิบัติงานในการสวมใส่ขณะทำงานเพื่อป้องกันอันตรายอันอาจเกิดขึ้น เนื่องจากสภาพและสิ่งแวดล้อมของการทำงานแต่อุปกรณ์ PPE มีข้อจำกัด คือ ไม่สามารถลดอันตรายจากแหล่งกำเนิดของอันตราย แต่เป็นเพียงสิ่งที่ป้องกันระหว่างผู้ปฏิบัติงานกับงานที่ทำ ถ้าป้องกันอันตรายส่วนบุคคลเสีย/เสื่อมสภาพการป้องกัน จะทำให้ผู้ปฏิบัติงานสัมผัสกับอันตรายทันที
วิธีการเลือกใช้อุปกรณ์ PPE ที่เหมาะสม ควรพิจารณาตามเกณฑ์ต่อไปนี้
- เลือกอุปกรณ์PPE ให้ตรงกับการปกป้องอันตรายที่ผู้ปฏิบัติงานอาจได้รับสัมผัสและกิจกรรมที่ปฏิบัติงาน
- ตรวจสอบประสิทธิภาพในของอุปกรณ์ปกป้องที่ใช้อย่างสม่ำเสมอและมีมาตรฐานรับรองเป็นไปตามข้อกำหนดของสถาบันที่เชื่อถือได้
- เลือกอุปกรณ์PPE ที่มีขนาดเหมาะสมและพอดีกับผู้สวมใส่เพื่อให้เกิดความสบายต่อการสวมใส่
(fit testing)
- อุปกรณ์PPE จะต้องไม่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติงาน
- อุปกรณ์PPE มีวิธีการใช้งานง่าย
- มีคุณภาพดีทนทานอายุการใช้งานยาวนาน บำรุงรักษาง่าย ซ่อมแซมหรือเปลี่ยนอะไหล่ได้ง่าย
- หาซื้อง่ายและราคาเหมาะสม
อ้างอิง
เอกสารการฝึกอบรม “การบริหารจัดการความปลอดภัยในห้องปฏิบัติการและการจัดการสารเคมี ของเสียอันตรายผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. นัทธี สุรีย์
https://mooc.cmu.ac.th/
https://learning.mooc.cmu.ac.th/courses/