ขึ้นหัวข้อแบบนี้ หลายคนอาจตกใจ ... อันที่จริงแล้ว ผมต้องการจะเล่าถึงเงินตอบแทนหรือค่าจ้าง ในการทำงาน เปรียบเทียบกันระหว่าง คนที่ทำงานเป็นลูกจ้างรับเงินเดือนในประเทศไทย กับในประเทศออสเตรเลียครับ และเนื่องจากออสเตรเลียเขาคิดค่าแรงเป็นชั่วโมง ส่วนคนไทยคิดค่าแรงเป็นเดือน ผมจึงคำนวณให้เปรียบเทียบกันได้ โดยพบกันครึ่งทางคิดเป็นค่าแรงต่อวัน (สำหรับคนไทย ผมสมมุติให้ 1 เดือน คิดเป็นวันทำงาน 20 วัน ส่วนออสเตรเลีย ผมให้ทำงาน 8 ชั่วโมง คิดเป็น 1 วันนะครับ)
ออสเตรเลีย เขามีการจัดระดับเงินค่าตอบแทน โดยดูจากหลักเกณฑ์ดังนี้ครับ ค่าจ้างระดับต่ำ: งานที่ไม่ต้องใช้ความรู้หรือความสามารถ และไม่ต้องใช้แรงงาน มีความเสี่ยงต่ำ ($50-100 ต่อวัน) ค่าจ้างระดับปานกลาง: งานที่ต้องใช้ความรู้ ความสามารถ หรือต้องใช้แรงงานปานกลาง มีความเสี่ยปานกลาง ($100-200 ต่อวัน) ค่าจ้างระดับสูง: งานที่ต้องใช้ความรู้สูง ความสามารถสูง หรือต้องใช้แรงงานหนัก มีความเสี่ยงสูง ($200-350 ต่อวัน)
ไทย มีหลักเกณฑ์ดังนี้ครับ (ขออ้างอิงค่าเงินเมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้ว ตอนที่ผมยังเรียนอยู่ที่นั่นนะครับ ซึ่ง $1 = 25 บาท) ค่าจ้างระดับต่ำ: คนที่ไม่ได้เรียนสูง ส่วนมากเป็นงานที่ต้องใช้แรงงานหนัก ($8-20 ต่อวัน หรือ 4,000-10,000 บาทต่อเดีอน) ค่าจ้างระดับปานกลาง: คนที่มีการศึกษาระดับหนึ่ง ส่วนมากเป็นงานที่ต้องออกแรงบ้าง ($20-40 ต่อวัน หรือ 10,000-20,000 บาทต่อเดีอน) ค่าจ้างระดับสูง: คนที่มีการศึกษาสูง ส่วนมากเป็นงานที่ต้องออกแรงน้อย ($40-400 ต่อวัน หรือ 20,000-200,000 บาทต่อเดีอน) ขอไม่กล่าวถึงผู้ที่มีเงินเดือนเป็นล้านๆ นะครับ เพราะคิดว่ามันเป็นอะไรที่นอกโลกจริงๆ
จะเห็นว่าค่าแรงระดับสูงสุด (ในระบบ) ของเรากับออสเตรเลียไม่ต่้างกัน แต่ค่าแรงระดับต่ำของเรากับเขานั้นแตกต่างกันมากใช่ไหมครับ ลองมาดูความไม่สมเหตุสมผลในเรื่องนี้ ซึ่งผมขอแยกเป็น 2 ประเด็น ดังนี้
(1) ความไม่สมเหตุสมผลที่ประเทศไทยเราไม่ได้ให้ค่าตอบแทนอย่างเป็นธรรมแก่ผู้ใช้แรงงาน ที่ต้องออกแรงเหนื่อยและมีความเสี่ยงสูง ทั้งๆ ที่ต้นทุนของเขาก็คือ หยาดเหงื่อและแรงกาย แต่กลับตอบแทนค่าแรงของผู้ที่มีวุฒิการศึกษาที่สูงกว่า โดยคิดว่าต้นทุนของเขาก็คือ มันสมองและค่าเล่าเรียนที่เขาได้ลงทุนไป ในขณะที่ออสเตรเลีย เขาให้ประชาชนของเขาได้เรียนฟรีหรือถูกมากจนจบ ม.6 คนของเขาจึงที่มีต้นทุนอันเกิดจากการศึกษาไม่แตกต่างกัน เขาจึงพิจารณาค่าแรงจากความสามารถ หยาดเหงื่อแรงกาย และความเสี่ยงภัย
(2) ความไม่สมเหตุสมผล เมื่อเทียบค่าแรงที่เป็นรายรับกับค่าครองชีพที่เป็นรายจ่าย หลายคนอาจคิดว่าประเทศไทยมีค่าครองชีพต่ำกว่าออสเตรเลีย อันนี้ผมไม่เถียง แต่ว่าต่ำกว่ากันเท่าไรครับ ผมจะขอเปรียบเทียบกับปัจจัยพื้นฐาน 2 ปัจจัย คือ
(2.1) เมื่อเปรียบเทียบกับราคาอาหาร เช่น ของไทยเราราคาข้าวราดแกง 1 จาน ราคาประมาณ 25 บาท เมื่อเทียบกับค่าแรงขั้นต่ำของไทย คือ วันละประมาณ 200 บาท (คิดจาก 4,000 บาทต่อเดือน) เท่ากับซื้อข้าวได้ 8 จาน ในขณะที่ของออสเตรเลียอาหารจานด่วนอย่างเบอร์เกอร์ของแม็คโดนัล ราคาประมาณ $5 เมื่อเทียบกับค่าแรงขั้นต่ำที่สุดของเขา คือ วันละ $50 ซึ่งเท่ากับซื้อได้ 10 อัน ... ดูก็ไม่ค่อยเห็นความแตกต่างเท่าไรนะครับ
(2.2) หากเปรียบเทียบกับค่าน้ำมัน เช่น ของไทยเราน้ำมันเบนซิน 1 ลิตร ราคาประมาณ 25 บาท เมื่อเทียบกับค่าแรงขั้นต่ำที่สุดของไทย คือ วันละ 200 บาท (คิดจาก 4,000 บาทต่อเดือน) ซึ่งเท่ากับซื้อได้วันละ 8 ลิตรเท่านั้น ในขณะที่ของออสเตรเลีย น้ำมันเบินซินราคาลิตรละประมาณ $1 เมื่อเทียบกับค่าแรงขั้นต่ำที่สุดของเขา คือ วันละ $50 ซึ่งเท่ากับซื้อน้ำมันได้ถึงวันละ 50 ลิตร (ซึ่งเติมได้เต็มถังเลยทีเดียว)
เมื่อเป็นอย่างนี้ เราคงต้องมาพิจารณาตัวเราเองแล้วว่า ฐานะอย่างเรา ควรกินข้าวราดแกงหรือแม็คโดนัล และควรขี่จักรยาน/ขี่มอเตอร์ไซค์/ขับรถยนต์/นั่งรถเมล์ เราจึงจะมีเงินเหลือเก็บและสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างพอเพียง