เริ่มต้นการพัฒนาด้วย React-Native
วันที่เขียน 1/9/2567 12:23:55     แก้ไขล่าสุดเมื่อ 21/11/2567 17:35:47
เปิดอ่าน: 330 ครั้ง

การใช้ React Native กับ TypeScript เป็นการเพิ่มความปลอดภัยของชนิดข้อมูลให้กับ JavaScript โดยการใช้ Type Checking ที่ช่วยป้องกันข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการพัฒนา React Native คือ เฟรมเวิร์กที่ใช้สำหรับพัฒนาแอปมือถือข้ามแพลตฟอร์ม (iOS และ Android) ด้วย React และ JavaScript วิธีการเริ่มต้น: ติดตั้ง Node.js และ Expo CLI ดาวน์โหลด Node.js และติดตั้ง Expo CLI (npm install -g expo-cli) สร้างโปรเจกต์ใหม่ด้วย TypeScript ใช้คำสั่ง expo init MyApp --template expo-template-blank-typescript เพื่อสร้างโปรเจกต์ใหม่ที่ใช้ TypeScript เขียนคอมโพเนนต์ สร้างคอมโพเนนต์ในไฟล์ .tsx ซึ่งสามารถใช้ประเภทข้อมูล (types) เพื่อให้แน่ใจว่าการใช้งานโค้ดเป็นไปอย่างถูกต้อง ตั้งค่า TypeScript ใช้ไฟล์ tsconfig.json เพื่อกำหนดการตั้งค่าของ TypeScript พัฒนาและทดสอบ ใช้คำสั่ง expo start เพื่อเริ่มเซิร์ฟเวอร์พัฒนาและทดสอบแอปบน Emulator หรืออุปกรณ์จริง ข้อดี: Type Safety: ช่วยจับข้อผิดพลาดได้ก่อนที่จะรันแอป การพัฒนาเร็วขึ้น: การใช้ TypeScript สามารถทำให้การพัฒนาเร็วขึ้นด้วย IntelliSense และการตรวจสอบข้อผิดพลาด การใช้ React Native กับ TypeScript จะทำให้การพัฒนาแอปของคุณมีความมั่นคงและปราศจากข้อผิดพลาดมากขึ้น พร้อมทั้งช่วยให้การพัฒนาเป็นไปอย่างราบรื่นยิ่งขึ้น

การเริ่มต้นใช้งาน React Native และ TypeScript บน Windows เกี่ยวข้องกับการตั้งค่าสภาพแวดล้อมการพัฒนา การสร้างโปรเจ็กต์ TypeScript ใหม่ และการเรียกใช้แอปของคุณ คำแนะนำทีละขั้นตอนสำหรับ Windows มีดังนี้

1. ติดตั้งสภาพแวดล้อมการพัฒนา โดยไม่ใช้ Expo CLI

1.1 ติดตั้ง Node.js

  • ดาวน์โหลดและติดตั้ง Node.js จาก nodejs.org ซึ่งจะรวม npm (Node Package Manager) มาให้ด้วย

1.2 ติดตั้ง Yarn (อาจไม่จำเป็นแต่แนะนำ)

  • Yarn เป็นเครื่องมือจัดการแพ็กเกจที่เร็วกว่า npm
  • ติดตั้งผ่าน npm:
    bash
    npm install -g yarn

1.3 ติดตั้ง React Native CLI

  • เปิด Command Prompt หรือ PowerShell และติดตั้ง React Native CLI:
    bash
    npm install -g react-native-cli

1.4 ติดตั้ง Android Studio

  • ดาวน์โหลดและติดตั้ง Android Studio จาก developer.android.com

  • ในระหว่างการติดตั้ง ให้ติดตั้ง:

    • Android SDK
    • Android SDK Platform
    • Android Virtual Device (AVD)
  • เปิด Android Studio และกำหนดค่า:

    • ไปที่ File -> Settings (หรือ Configure -> SDK Manager)
    • ภายใต้ SDK Platforms, ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณติดตั้ง Android SDK รุ่นล่าสุด
    • ภายใต้ SDK Tools, ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณติดตั้ง Android SDK Build-Tools, Android SDK Platform-Tools, และ Android SDK Tools
  • ตั้งค่าสภาพแวดล้อมตัวแปรสำหรับ Android SDK:

    • ไปที่ System Properties -> Advanced -> Environment Variables
    • เพิ่มตัวแปรระบบใหม่:
      • ANDROID_HOME โดยตั้งค่าเป็นที่อยู่ของไดเรกทอรี Android SDK ของคุณ (เช่น C:\Users\<YourUsername>\AppData\Local\Android\Sdk)
    • เพิ่ม platform-tools และ tools ลงในตัวแปร PATH ของคุณ:
      • เพิ่ม C:\Users\<YourUsername>\AppData\Local\Android\Sdk\platform-tools และ C:\Users\<YourUsername>\AppData\Local\Android\Sdk\tools ลงใน PATH

2. สร้างโปรเจกต์ใหม่ด้วย TypeScript

2.1 สร้างโปรเจกต์ React Native ด้วย TypeScript

  • เปิด Command Prompt หรือ PowerShell
  • สร้างโปรเจกต์ใหม่ด้วย TypeScript โดยใช้คำสั่ง:
    bash
    npx react-native init MyFirstApp --template react-native-template-typescript
  • เปลี่ยน MyFirstApp เป็นชื่อโปรเจกต์ที่คุณต้องการ

3. เรียกใช้งานโปรเจกต์ของคุณ

3.1 ตั้งค่า Android Emulator

  • เปิด Android Studio
  • ไปที่ AVD Manager (Android Virtual Device Manager)
  • สร้างอุปกรณ์เสมือนใหม่ เลือกการกำหนดค่าอุปกรณ์และภาพระบบ แล้วเริ่ม Emulator

3.2 เริ่ม Metro Bundler

  • เปลี่ยนไปที่ไดเรกทอรีโปรเจกต์ของคุณ:
    bash
    cd MyFirstApp
  • เริ่ม Metro Bundler (เซิร์ฟเวอร์พัฒนา):
    bash
    npx react-native start

3.3 เรียกใช้งานบน Android Emulator

  • ใน Command Prompt หรือ PowerShell ใหม่ ให้รัน:
    bash
    npx react-native run-android
  • คำสั่งนี้จะสร้างและเรียกใช้งานแอปของคุณใน Android Emulator

4. เขียนโปรแกรม React Native แรกของคุณ

  • เปิดโปรเจกต์ของคุณในตัวแก้ไขโค้ด เช่น Visual Studio Code

  • ไปที่ App.tsx ซึ่งอยู่ในไดเรกทอรีหลักของโปรเจกต์ของคุณ

  • แทนที่โค้ดเริ่มต้นด้วยโค้ดตัวอย่างนี้:

    tsx
    import React from 'react'; import { View, Text, StyleSheet } from 'react-native'; const App: React.FC = () => { return ( <View style={styles.container}> <Text style={styles.text}>สวัสดี, React Native!</Text> </View> ); }; const styles = StyleSheet.create({ container: { flex: 1, justifyContent: 'center', alignItems: 'center', }, text: { fontSize: 20, }, }); export default App;
  • บันทึกไฟล์และการเปลี่ยนแปลงจะโหลดใหม่โดยอัตโนมัติใน Emulator หรืออุปกรณ์

5. สำรวจและเรียนรู้เพิ่มเติม

  • เอกสาร React Native: อ่านเอกสาร React Native Documentation เพื่อเรียนรู้รายละเอียดเพิ่มเติม
  • บทเรียนและคอร์ส: ค้นหาบทเรียนและคอร์สออนไลน์เพื่อขยายความรู้ของคุณ
  • ชุมชนและทรัพยากร: เข้าร่วมฟอรั่มและชุมชนเพื่อขอความช่วยเหลือและติดตามแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด

โดยการทำตามขั้นตอนเหล่านี้ คุณจะสามารถตั้งค่าสภาพแวดล้อมการพัฒนา และสร้างและเรียกใช้งานแอป React Native แรกของคุณด้วย TypeScript บน Windows ได้สำเร็จ

//------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

การเริ่มต้นโปรเจกต์ React Native ด้วย TypeScript โดยใช้ Expo CLI บน Windows:

1. ตั้งค่าสภาพแวดล้อมการพัฒนา โดยใช้ Expo CLI

1.1 ติดตั้ง Node.js

  • ดาวน์โหลดและติดตั้ง Node.js จาก nodejs.org ซึ่งจะรวม npm (Node Package Manager) มาด้วย

1.2 ติดตั้ง Expo CLI

  • เปิด Command Prompt หรือ PowerShell
  • ติดตั้ง Expo CLI โดยใช้คำสั่ง:
    bash
    npm install -g expo-cli
  • หรือถ้าคุณใช้ Yarn:
    bash
    yarn global add expo-cli

2. สร้างโปรเจกต์ใหม่ด้วย TypeScript

2.1 สร้างโปรเจกต์ใหม่

  • เปิด Command Prompt หรือ PowerShell
  • ใช้ Expo CLI เพื่อสร้างโปรเจกต์ใหม่ด้วยเทมเพลต TypeScript:
    bash
    expo init MyExpoApp --template expo-template-blank-typescript
  • เปลี่ยน MyExpoApp เป็นชื่อโปรเจกต์ที่คุณต้องการ

2.2 เปลี่ยนไปที่ไดเรกทอรีโปรเจกต์

  • เปลี่ยนไปที่ไดเรกทอรีของโปรเจกต์:
    bash
    cd MyExpoApp

3. เรียกใช้งานโปรเจกต์ของคุณ

3.1 เริ่มเซิร์ฟเวอร์พัฒนา Expo

  • เริ่มเซิร์ฟเวอร์พัฒนา Expo ด้วยคำสั่ง:
    bash
    expo start
  • คำสั่งนี้จะเริ่ม Metro Bundler (เซิร์ฟเวอร์พัฒนา) และเปิดหน้าต่างเบราว์เซอร์ที่แสดง Expo DevTools

3.2 ทดสอบบน Emulator หรือ อุปกรณ์จริง

  • สำหรับ Android:
    • ถ้าคุณมี Android Emulator ติดตั้งอยู่ คุณสามารถกด a ในเทอร์มินัลเพื่อรันแอปใน Emulator
    • หรือสแกน QR โค้ดที่แสดงใน Expo DevTools ด้วยแอป Expo Go บนอุปกรณ์ Android ของคุณ
  • สำหรับ iOS:
    • ถ้าคุณใช้ macOS และติดตั้ง Xcode อยู่ คุณสามารถกด i ในเทอร์มินัลเพื่อเปิดแอปใน iOS Simulator
    • หรือสแกน QR โค้ดด้วยแอป Expo Go บนอุปกรณ์ iOS ของคุณ

4. เขียนคอมโพเนนต์แรกของคุณด้วย TypeScript

4.1 เปิดโปรเจกต์ของคุณในตัวแก้ไขโค้ด

  • เปิดโปรเจกต์ของคุณในตัวแก้ไขโค้ดที่คุณชื่นชอบ เช่น Visual Studio Code

4.2 แก้ไขไฟล์ App.tsx

  • เปิดไฟล์ App.tsx ที่อยู่ในไดเรกทอรีหลักของโปรเจกต์

  • แทนที่โค้ดเริ่มต้นด้วยโค้ดตัวอย่างนี้:

    tsx
    import React from 'react'; import { View, Text, StyleSheet } from 'react-native'; const App: React.FC = () => { return ( <View style={styles.container}> <Text style={styles.text}>สวัสดี, Expo และ TypeScript!</Text> </View> ); }; const styles = StyleSheet.create({ container: { flex: 1, justifyContent: 'center', alignItems: 'center', }, text: { fontSize: 20, }, }); export default App;
  • บันทึกไฟล์ และการเปลี่ยนแปลงจะปรากฏใน Emulator หรืออุปกรณ์ของคุณทันที

5. สำรวจและเรียนรู้เพิ่มเติม

  • เอกสารของ Expo: ดูเอกสาร Expo Documentation สำหรับคำแนะนำและข้อมูล API
  • เอกสารของ React Native: ดูเอกสาร React Native Documentation สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
  • เอกสารของ TypeScript: ไปที่ TypeScript Documentation เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับ TypeScript

6. เครื่องมือและไลบรารีเพิ่มเติม

  • Expo SDK: Expo มีชุดไลบรารีและคอมโพเนนต์ที่คุณสามารถใช้ได้ ตรวจสอบเอกสาร Expo SDK สำหรับคุณสมบัติเพิ่มเติม
  • React Navigation: สำหรับการนำทางภายในแอปของคุณ คิดถึงการใช้ React Navigation ซึ่งทำงานร่วมกับ Expo ได้ดี

ตามขั้นตอนเหล่านี้ คุณจะสามารถตั้งค่าและเริ่มโปรเจกต์ React Native ด้วย TypeScript โดยใช้ Expo CLI ได้สำเร็จ

//------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

การเพิ่ม NativeWind (ซึ่งเป็นตัวแปลงของ Tailwind CSS สำหรับ React Native) ในโปรเจกต์ React Native ที่ใช้ TypeScript สามารถช่วยให้การเขียนสไตล์สะดวกขึ้นและมีความยืดหยุ่นสูงขึ้น นี่คือขั้นตอนในการติดตั้งและใช้งาน NativeWind:

1. ติดตั้ง NativeWind

1.1 เปิด Command Prompt หรือ PowerShell

  • ไปที่ไดเรกทอรีโปรเจกต์ของคุณ

1.2 ติดตั้ง NativeWind และ Tailwind CSS

  • ใช้คำสั่งต่อไปนี้เพื่อติดตั้ง NativeWind และ Tailwind CSS:
    bash
    npm install nativewind tailwindcss
  • หรือหากคุณใช้ Yarn:
    bash
    yarn add nativewind tailwindcss

2. ตั้งค่า Tailwind CSS

2.1 สร้างไฟล์การตั้งค่า Tailwind CSS

  • ใช้คำสั่งนี้เพื่อสร้างไฟล์การตั้งค่า Tailwind CSS:
    bash
    npx tailwindcss init
  • คำสั่งนี้จะสร้างไฟล์ tailwind.config.js ในไดเรกทอรีโปรเจกต์ของคุณ

2.2 แก้ไขไฟล์ tailwind.config.js

  • เปิดไฟล์ tailwind.config.js และเพิ่มการตั้งค่าให้เหมาะกับ React Native:
    js
    module.exports = { content: [ './App.tsx', './src/**/*.{js,ts,jsx,tsx}', ], theme: { extend: {}, }, plugins: [], };

3. ตั้งค่า NativeWind

3.1 สร้างไฟล์ babel.config.js (ถ้ายังไม่มี)

  • หากยังไม่มีไฟล์ babel.config.js ในโปรเจกต์ของคุณ ให้สร้างไฟล์นี้ในไดเรกทอรีหลักของโปรเจกต์
  • เพิ่มการตั้งค่าดังนี้:
    js
    module.exports = { presets: ['module:metro-react-native-babel-preset'], plugins: [ 'nativewind/babel', ], };

4. ใช้ NativeWind ในโปรเจกต์ของคุณ

4.1 เขียนสไตล์ด้วย NativeWind

  • เปิดไฟล์ที่คุณต้องการใช้ NativeWind เช่น App.tsx

  • ใช้คลาสจาก Tailwind CSS ในการกำหนดสไตล์ของคอมโพเนนต์ของคุณ เช่น:

    tsx
    import React from 'react'; import { View, Text, StyleSheet } from 'react-native'; const App: React.FC = () => { return ( <View className="flex-1 justify-center items-center bg-gray-200"> <Text className="text-2xl font-bold text-blue-600">สวัสดี, NativeWind!</Text> </View> ); }; export default App;
  • หมายเหตุ: ใน NativeWind คุณสามารถใช้ className เพื่อกำหนดสไตล์ตามที่คุณต้องการ คล้ายกับ Tailwind CSS

5. เริ่มเซิร์ฟเวอร์พัฒนาและตรวจสอบผลลัพธ์

5.1 เริ่ม Metro Bundler

  • เปิด Command Prompt หรือ PowerShell
  • เปลี่ยนไปที่ไดเรกทอรีโปรเจกต์ของคุณ
  • เริ่มเซิร์ฟเวอร์พัฒนา Expo หรือ React Native ด้วยคำสั่ง:
    bash
    npx expo start
  • หรือถ้าคุณใช้ React Native CLI:
    bash
    npx react-native start

5.2 ทดสอบแอปของคุณ

  • ตรวจสอบผลลัพธ์ใน Emulator หรืออุปกรณ์จริงของคุณ

โดยการทำตามขั้นตอนเหล่านี้ คุณจะสามารถติดตั้งและใช้งาน NativeWind ในโปรเจกต์ React Native ที่ใช้ TypeScript ได้

//------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

การสร้างคอมโพเนนต์ฟังก์ชันใน React Native เป็นเรื่องที่ค่อนข้างตรงไปตรงมา คอมโพเนนต์ฟังก์ชันใน React Native นั้นเป็นฟังก์ชันที่ส่งคืน JSX ซึ่งเป็นการอธิบายว่าคอมโพเนนต์นี้จะมีลักษณะอย่างไรบนหน้าจอ

ขั้นตอนในการสร้างคอมโพเนนต์ฟังก์ชันใน React Native

1. สร้างไฟล์คอมโพเนนต์

  • สร้างไฟล์ใหม่ในโฟลเดอร์โปรเจกต์ของคุณ เช่น MyComponent.tsx

2. เขียนฟังก์ชันคอมโพเนนต์

  • ภายในไฟล์ MyComponent.tsx ให้เขียนโค้ดฟังก์ชันคอมโพเนนต์ดังนี้:

    tsx
    import React from 'react'; import { View, Text, StyleSheet } from 'react-native'; // สร้างคอมโพเนนต์ฟังก์ชัน const MyComponent: React.FC = () => { return ( <View style={styles.container}> <Text style={styles.text}>สวัสดีจาก MyComponent!</Text> </View> ); }; // กำหนดสไตล์ const styles = StyleSheet.create({ container: { flex: 1, justifyContent: 'center', alignItems: 'center', backgroundColor: '#f0f0f0', }, text: { fontSize: 20, color: '#333', }, }); // ส่งออกคอมโพเนนต์ export default MyComponent;
  • คำอธิบาย:

    • import React from 'react'; : นำเข้า React ที่จำเป็นสำหรับการสร้างคอมโพเนนต์
    • import { View, Text, StyleSheet } from 'react-native'; : นำเข้า View, Text, และ StyleSheet ซึ่งเป็นคอมโพเนนต์และเครื่องมือสำหรับการจัดสไตล์ใน React Native
    • const MyComponent: React.FC = () => { ... } : สร้างคอมโพเนนต์ฟังก์ชันชื่อ MyComponent ซึ่งส่งคืน JSX ที่แสดง UI
    • const styles = StyleSheet.create({...}) : กำหนดสไตล์ให้กับคอมโพเนนต์
    • export default MyComponent; : ส่งออกคอมโพเนนต์ให้สามารถนำไปใช้ในที่อื่นได้

3. ใช้คอมโพเนนต์ในโปรเจกต์

  • เปิดไฟล์ที่คุณต้องการใช้คอมโพเนนต์ เช่น App.tsx

  • นำเข้าคอมโพเนนต์และใช้มันใน JSX ดังนี้:

    tsx
    import React from 'react'; import { View, StyleSheet } from 'react-native'; import MyComponent from './MyComponent'; // นำเข้าคอมโพเนนต์ที่สร้างขึ้น const App: React.FC = () => { return ( <View style={styles.container}> <MyComponent /> {/* ใช้คอมโพเนนต์ที่สร้างขึ้น */} </View> ); }; const styles = StyleSheet.create({ container: { flex: 1, justifyContent: 'center', alignItems: 'center', }, }); export default App;
  • คำอธิบาย:

    • import MyComponent from './MyComponent'; : นำเข้าคอมโพเนนต์ที่สร้างขึ้นจากไฟล์ MyComponent.tsx
    • <MyComponent /> : ใช้คอมโพเนนต์ใน JSX ของ App

สรุป

  • สร้างไฟล์คอมโพเนนต์: สร้างไฟล์ใหม่และเขียนฟังก์ชันคอมโพเนนต์ในรูปแบบของฟังก์ชันที่ส่งคืน JSX
  • กำหนดสไตล์: ใช้ StyleSheet.create เพื่อจัดสไตล์ให้กับคอมโพเนนต์
  • ใช้คอมโพเนนต์: นำเข้าคอมโพเนนต์และใช้มันในไฟล์อื่นๆ

การสร้างคอมโพเนนต์ฟังก์ชันใน React Native เป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาแอปพลิเคชันที่มีประสิทธิภาพและสวยงาม

คำสำคัญ :
กลุ่มบทความ :
หมวดหมู่ :
แชร์ :
https://erp.mju.ac.th/acticleDetail.aspx?qid=1492
ความคิดเห็นทั้งหมด (0)
ไม่มีข้อมูลตามเงื่อนไขที่ท่านกำหนด
รายการบทความการแลกเปลี่ยนเรียนรู้หมวดหมู่ : กลุ่มงานเทคโนโลยีสารสนเทศ
กลุ่มงานเทคโนโลยีสารสนเทศ » UX/UI Design ต่างกันอย่างไร
การออกแบบเว็บไซต์ การออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการดิจิทัล มีความสำคัญมากขึ้นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการออกแบบประสบการณ์ผู้ใช้ (User Experience Design: UX Design) และการออกแบบส่วนต่อประสานผู้ใช้ (...
UI Design  UX Design  UX UI  UX/UI  การออกแบบเว็บ     กลุ่มงานตามสมรรถนะบุคลากร   กลุ่มงานเทคโนโลยีสารสนเทศ
ผู้เขียน ช่อทิพย์ สิทธิ  วันที่เขียน 6/9/2567 14:14:09  แก้ไขล่าสุดเมื่อ 21/11/2567 16:01:52   เปิดอ่าน 101  ครั้ง | แสดงความคิดเห็น 0  ครั้ง
การพัฒนาโปรแกรม » การพัฒนาระบบเพื่อลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน สำหรับการจัดเก็บและทำลายเอกสาร
การพัฒนาระบบเพื่อลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน สำหรับการจัดเก็บและทำลายเอกสาร โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน โดยการนำระบบจัดเก็บและทำลายเอกสารมาช่วยปรับปรุงประสิทธิผล ในกระบวนการทำ...
Re-Design Process?  ระบบจัดเก็บและทำลายเอกสาร     กลุ่มงานตามสมรรถนะบุคลากร   กลุ่มงานเทคโนโลยีสารสนเทศ
ผู้เขียน ณัฐกฤตา โกมลนาค  วันที่เขียน 5/9/2567 11:45:54  แก้ไขล่าสุดเมื่อ 21/11/2567 15:53:41   เปิดอ่าน 250  ครั้ง | แสดงความคิดเห็น 0  ครั้ง
การพัฒนาระบบสารสนเทศ » ข้อมูลเปิด (Open Data) เบื้องต้น
ข้อมูลเปิด (Open Data) คือ ข้อมูลที่สามารถเข้าถึง ใช้งาน แก้ไข และแบ่งปันได้โดยไม่จำกัดข้อกำหนดหรือค่าใช้จ่าย ข้อมูลเปิดมักถูกเผยแพร่ในรูปแบบที่สามารถอ่านและวิเคราะห์ได้ง่าย เช่น ไฟล์ CSV, JSON, หร...
การเข้าถึง  การใช้งาน  การแบ่งปัน  การเปิดเผย  ข้อมูลเปิด     กลุ่มงานตามสมรรถนะบุคลากร   กลุ่มงานเทคโนโลยีสารสนเทศ
ผู้เขียน สมนึก สินธุปวน  วันที่เขียน 2/9/2567 9:45:13  แก้ไขล่าสุดเมื่อ 21/11/2567 16:01:22   เปิดอ่าน 98  ครั้ง | แสดงความคิดเห็น 0  ครั้ง