พื้นฐาน....ใครว่าไม่สำคัญ
ผู้เขียน : ปาณิศา คงสมจิตต์
นักเอกสารสนเทศ : ห้องสมุดคณะผลิตกรรมการเกษตร
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้มีสื่อมวลชนหลายสื่อได้ออกมาพูดและกล่าวถึงปัญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับกรณีที่มีเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 3 ยังอ่านหนังสือไม่ออกและเขียนไม่ได้เป็นจำนวนมากรวมทั้งพบว่ามีเด็กที่อ่านเขียนไม่คล่องและต้องปรับปรุงอีกมากกว่า 200,000 คน ทำให้หลายฝ่ายโดยเฉพาะสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ต้องรีบแก้ไขปัญหานี้และมีแนวทางที่จะนำหนังสือแบบเรียนภาษาไทยแบบเรียนเร็วใหม่ฝึกสะกดคำภาษาไทยในยุคของหลวงดรุณกิจวิทูร( ชด เมนะโพธิ) และนายฉันท์ ขำวิไล ที่ได้ร่วมกันแต่งเมื่อปี พ.ศ.2477 กลับมาใช้ใหม่
โดยแนวทางนี้นัยว่าเป็นการแก้ปัญหาเกี่ยวกับเด็กอ่านหนังสือไม่ออก เขียนไม่คล่อง ซึ่งเป้าหมายจะอยู่ในช่วงชั้นที่ 1 คือระดับ ป.1 – ป.3 เริ่มตั้งแต่เด็กที่เรียนอยู่ในชั้น ป.1 อยู่แล้วให้ฝึกเรียนแบบสะกดคำ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งคือเด็กที่เรียนพ้น ป.1 ไปแล้ว แต่ยังไม่สามารถอ่านหนังสือได้ ก็สามารถใช้แบบเรียนดังกล่าวเข้าไปแก้ปัญหาได้ เด็กก็จะสามารถอ่านเขียนได้คล่องขึ้น ทางสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จะจัดส่งแบบเรียนเร็วใหม่นี้ไปให้กับทางโรงเรียนที่สมัครใจต้องการใช้ ซึ่งในเบื้องต้นนี้อยู่ในระหว่างการจัดพิมพ์เพียง 600,000 เล่ม และจะแจกให้ทันในภาคเรียนแรกของปีการศึกษา 2557
มีนักวิชาการหลายท่าน ออกมาแสดงความคิดเห็นสนับสนุนกับแนวทางแก้ปัญหานี้ เนื่องจากเห็นว่าปัจจุบันโรงเรียนเน้นสอนแบบให้เด็กท่องจำเป็นคำๆ ทำให้เมื่อเจอศัพท์ใหม่ เด็กไม่สามารถอ่านประโยคนั้นได้ สอดคล้องกับทรรศนะของผู้ที่เกี่ยวข้องในวงการศึกษาที่ออกมาให้ข้อมูลว่า การเรียนแบบแจกลูกสะกดคำเป็นรากฐานที่สำคัญของการเรียนภาษาไทย ต้นเหตุที่ทำให้การเรียนการสอนภาษาไทยผิดเพี้ยนไป อาจเป็นเพราะมีนักวิชาการยุคสมัยหนึ่งที่จบมาจากต่างประเทศนำวิธีการเรียนแบบจำเป็นคำๆ มาใช้กับการสอนภาษาไทย ทำการสอนแบบเร่งรัดมากเกินไป เด็กไม่ได้เริ่มจากการฝึกเขียน ฝึกอ่านสะกดคำ หรือฝึกผันวรรณยุกต์แบบออกเสียง จึงทำให้เด็กอ่านหนังสือได้ไม่แตกฉานและเขียนหนังสือไม่ถูกต้อง ซึ่งถ้าหากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จะนำหนังสือแบบเรียนเร็วใหม่กลับมาใช้ก็จะทำให้เด็กเรียนรู้การสะกดคำได้อย่างถูกต้อง เมื่อไปเจอศัพท์ยากขึ้นก็จะไม่มีปัญหา
แม้กระทั่งในโลกของโซเชียลมีเดียหรือสังคมออนไลน์ คนร่วมยุคสมัยอย่างเช่นบุคคลที่มีนามว่าป้าเสลาก็ได้แสดงความเห็นว่า “ ป้าเสลาก็อยากให้กระทรวงศึกษาฯ นำหนังสือแบบเรียนรุ่นนี้มาสอนเด็กๆ อีกจังเลย เพราะรู้สึกว่าการเรียนภาษาไทยสมัยก่อนจะสร้างฐานความรู้ทางภาษาได้แน่นดี”
เมื่อย้อนกลับไปยังยุคสมัยที่ผู้เขียนยังเป็นเด็ก ก็ยังเคยได้ใช้แบบเรียนภาษาไทยแบบเรียนเร็วใหม่ของหลวงดรุณกิจวิทูร( ชด เมนะโพธิ) และนายฉันท์ ขำวิไล ในการฝึกอ่าน เป็นหนังสือแบบเรียนที่ฝึกให้ผู้เรียนได้ฝึกอ่านแบบแจกลูกสะกดคำ (ซึ่งใครที่อยากเห็นตัวอย่างหรือหน้าตาของหนังสือที่ว่านี้ก็เปิดเข้าไปดูทางอินเทอร์เน็ตได้) พิมพ์เป็นตัวอักษรด้วยตัวหนาสีดำตัวโต อ่านง่าย ผู้เขียนชอบหยิบมาอ่านบ่อยๆ เพราะมีเรื่องชวนให้อ่าน จากคำและประโยคที่ผูกเป็นเรื่องราว เข้าใจง่าย อ่านเมื่อไรก็ไม่เคยเบื่อ ยังจดจำได้ขึ้นใจ อาทิเช่น...
“ อีกาตาดี ปะปู อีกาดูปู บิดาปะอีกาดูปู บิดาดูอีกา ”
“ ป้าปะปู่ กู้อีจู้ ป้าดูปู่กู้อีจู้ ”
“ เด็กชายใหม่ รักหมู่ เป็นเด็กดี ตื่นนอนแต่เช้าๆ ทุกวัน.....”
“ เมืองไทย ใหญ่อุดม ดินดีสม เป็นนาสวน....” ฯลฯ
ผู้เขียนจำได้ว่า เป็นหนังสือเล่มแรกในชีวิตที่ทำให้ผู้เขียนสามารถอ่านหนังสือได้ อ่านทุกวัน อ่านจนคล่อง และอ่านจนจบเล่ม เมื่อจบเล่มแรกแล้วก็ทำให้อยากอ่านเล่มอื่นๆ อีก จนทำให้ติดเป็นนิสัยรักการอ่านโดยไม่รู้ตัวและชอบที่จะขีดๆ เขียนๆ และอ่านเพื่อจะเรียนรู้เป็นการเพิ่มประสบการณ์ในสิ่งที่ตนเองไม่เคยไปพบไปเห็น จากสิ่งนั้น....ส่งเป็นผลให้เกื้อกูลและมีประโยชน์กับหน้าที่การงานที่ทำมาจนถึงเวลานี้ ทั้งการ(เคย)เป็นครูสอนภาษาไทย พิธีกร นักเขียน หรือแม้กระทั่งการเป็นนักจัดรายการวิทยุที่ต้องผ่านกระบวนการทดสอบจนได้รับบัตรผู้ประกาศจากกรมประชาสัมพันธ์ ( นับว่าหินมาก สอบถึงสามครั้งกว่าจะได้บัตรนี้มา )
ในช่วงท้ายนี้ ผู้เขียนอยากจะชี้ให้เห็นว่า พื้นฐานการฝึกอ่านภาษาไทยเบื้องต้นในช่วงวัยเด็กนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมากเพราะจะสืบเนื่องไปในภายภาคหน้า ซึ่งเมื่อมีพื้นฐานการอ่านที่ดี อ่านได้เป็น อ่านได้คล่อง ก็จะส่งผลให้มีการเขียนที่ดีและถูกต้องได้ด้วย โดยจากเสี้ยวหนึ่งของชีวิตในด้านที่ประสบกับความสำเร็จ ทำให้ผู้เขียนไม่อาจละเลยในการที่จะระลึกถึงและกราบขอบพระคุณให้กับแบบเรียนเร็วของหลวงดรุณกิจวิทูร( ชด เมนะโพธิ) ที่แต่งร่วมกับนายฉันท์ ขำวิไล นี้ได้ นับว่าเป็นหนังสือเล่มแรกในชีวิต ที่ทำให้ผู้เขียนเป็นคนรักการอ่าน รักที่จะเรียนรู้ อย่างไม่มีวันสิ้นสุด...ขอขอบคุณและคารวะด้วยหัวใจ ......
*แหล่งอ้างอิง
- หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน : ฟื้นแบบเรียน “ก.กา” แก้เด็กอ่านไม่ออก, หน้า 6 , ฉบับวันที่ 23 เมษายน 2557.
- www.att.in.th/index.php?op=dynamiccontent_detail&dynamiccontent_id=9112 (ออนไลน์:สืบค้นเมื่อ 22 เมษายน 2557)
- www.arunsawat.com/board/index.php?topic=2899.50 (ออนไลน์ : สืบค้นเมื่อ 22 เมษายน 2557)