สรุปการอบรมหลักสูตร “กฎหมายปกครองสำหรับนักบริหารมหาวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยแม่โจ้
วันที่เขียน 3/8/2565 10:14:56     แก้ไขล่าสุดเมื่อ 9/10/2567 14:22:14
เปิดอ่าน: 3023 ครั้ง

กฎหมายปกครองเป็นกฎหมายที่กำหนดสถานะและความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ หน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชน ในฐานะที่รัฐหรือหน่วยงานของรัฐเป็นผู้ปกครองที่มีอำนาจเหนือเอกชน หรือระหว่างรัฐ หน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วยกันเอง กฎหมายปกครองจึงเป็นเครื่องมือที่สำคัญ ในการวางหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการจัดระเบียบบริหารงานของรัฐ การดำเนินกิจกรรมของฝ่ายปกครองในการจัดทำบริการสาธารณะ วางหลักความเกี่ยวพันในทางปกครองระหว่างฝ่ายปกครองกับเอกชน และฝ่ายปกครองด้วยกันเอง ดังนั้น ผู้บริหารจึงต้องรู้กฎหมายเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของตน เข้าใจ และสามารถปรับใช้กฎหมายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสม สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายนั้น ๆ อย่างแท้จริง มีความสุจริตในการปฏิบัติหน้าที่ และถือกฎหมายเป็นเครื่องมือในการบริหารงานให้เกิดประโยชน์สูงสุดและนำไปสู่ความสำเร็จ

สรุปการอบรมหลักสูตร “กฎหมายปกครองสำหรับนักบริหารมหาวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยแม่โจ้”

ระหว่างวันที่ 23-24 มิถุนายน 2565

ณ มหาวิทยาลัยแม่โจ้

 

หัวข้อเนื้อหา

  • กฎหมายปกครองเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้บริหารมหาวิทยาลัย
  • กฎหมายเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ
  • กฎหมายว่าด้วยการบริหารงานบุคคล
  • กฎหมายว่าด้วยการดำเนินการทางวินัย

 

กฎหมายปกครองเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้บริหารมหาวิทยาลัย

กฎหมายมหาชน แบ่งออกเป็น

  1. กฎหมายรัฐธรรมนูญ กำหนดการจัดอำนาจและองค์กรผู้ใช้อำนาจอธิปไตยความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรดังกล่าวด้วยกัน และความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรดังกล่าวกับสิทธิเสรีภาพของประชาชน
  2. กฎหมายปกครอง กำหนดสถานะ อำนาจหน้าที่และความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรของรัฐฝ่ายปกครองด้วยกัน และความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรของรัฐฝ่ายปกครองกับสิทธิเสรีภาพของประชาชน
  3. กฎหมายการคลัง กำหนดวิธีการงบประมาณ การคลังและภาษีอากร

กฎหมายปกครอง จะครอบคลุม

  • เป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับการจัดองค์กรของรัฐในทางบริหาร
  • เป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับการกระทำทางปกครอง
  • เป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับการควบคุมการใช้อำนาจทางปกครอง

คดีปกครอง คือ คดีที่มีข้อพิพาททางกฎหมายปกครองระหว่างหน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วยกัน เกี่ยวกับการกระทำหรือการละเว้นการกระทำที่หน่วยงาน หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องปฏิบัติตามกฎหมาย หรือต้องรับผิดชอบในการปฏิบัติตามกฎหมาย

ลักษณะของคดีปกครอง

  • คู่กรณีอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องเป็นหน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ
  • เป็นคดีพิพาทที่เกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายในการออกกฎ ออกคำสั่งหรือการกระทำอื่นใดในทางปกครอง

สัญญาภาครัฐ แบ่งเป็น

  1. สัญญาทางปกครอง

แนวคิด : สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง หรือเป็นบุคคลซึ่งกระทำการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภค หรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ

  1. สัญญาทางแพ่ง

 

กฎหมายเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ

ระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560

ขั้นตอนการซื้อหรือจ้าง

  1. แผนการจัดซื้อจัดจ้าง (มีประกาศเผยแพร่แผนฯ)
  2. ขอบเขตของงาน/ Spec. (รับฟังความคิดเห็น กรณี e-bidding วงเงินเกิน 5 ล้านบาท)
  3. ทำรายงานขอซื้อ/จ้าง
  4. ดำเนินการจัดหา (วิธีจัดซื้อจัดจ้างทั่วไปมี 3 วิธี คือ วิธีประกาศเชิญชวนทั่วไป วิธีคัดเลือก วิธีเฉพาะเจาะจง)
  5. ขออนุมัติสั่งซื้อ/จ้าง (ผู้มีอำนาจอนุมัติสั่งซื้อหรือสั่งจ้าง คือ (1) หัวหน้าหน่วยงานของรัฐ (2) ผู้มีอำนาจเหนือขึ้นไปหนึ่งชั้น)
  6. การทำสัญญา (หัวหน้าหน่วยงานของรัฐ เป็นผู้ลงนามสัญญา)
  7. การตรวจรับพัสดุ (มีคณะกรรมการตรวจรับพัสดุ)

 การจัดทำร่างขอบเขตของงานที่จะซื้อหรือจ้าง

TOR คือ การร่างขอบเขตงาน เพื่อใช้เป็นข้อกำหนดเงื่อนไขการเสนอราคา ซึ่งประกอบด้วยเอกสารแสดงข้อมูล รายการ รายละเอียดเทคนิคของสิ่งของ หรืองานจ้าง ที่จะประกาศ หรือแจ้งให้ผู้ขายหรือผู้รับจ้าง ได้รับทราบถึงความต้องการ ตลอดจนเงื่อนไขต่าง ๆ ที่จำเป็นของหน่วยงานของรัฐ ผู้ซื้อหรือผู้ว่าจ้าง

มาตรา 8 หลักการจัดซื้อจัดจ้าง

คุ้มค่า (มีคุณลักษณะตอบสนองวัตถุประสงค์การใช้งานและมีราคาเหมาะสม)

โปร่งใส (เปิดเผยข้อมูล เปิดโอกาสให้แข่งขันอย่างเป็นธรรม)

ตรวจสอบได้ (เก็บข้อมูลเป็นระบบเพื่อการตรวจสอบ)

ประสิทธิภาพและประสิทธิผล (วางแผนการจัดซื้อจัดจ้างและมีการประเมินผล)

หลักการกำหนดคุณลักษณะเฉพาะของสิ่งของที่จะซื้อ หรือขอบเขตงานที่จะจ้าง (Specification : Spec) ให้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของหน่วยงานของรัฐที่สามารถกำหนดได้ตามความต้องการของหน่วยงาน แต่ต้องสอดคล้องกับรายการเงินงบประมาณที่ได้รับจัดสรรมา และที่มีกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่ง หรือมติคณะรัฐมนตรี หรือหนังสือแจ้งเวียนแนวทางปฏิบัติเพิ่มเติมต่าง ๆ ด้วย

การกำหนดคุณลักษณะเฉพาะพัสดุ (ตาม พรบ.มาตรา 9) หลักเกณฑ์ที่ต้องคำนึงถึง

ห้ามกำหนดใกล้เคียงยี่ห้อใดยี่ห้อหนึ่ง หรือของผู้ขายรายใดรายหนึ่งโดยเฉพาะ

เว้นแต่มียี่ห้อเดียว หรือต้องใช้อะไหล่ของยี่ห้อใด ให้ระบุยี่ห้อนั้นได้

คุณลักษณะเฉพาะ = เทคนิค คุณภาพ วัตถุประสงค์

ราคากลาง ราคาเพื่อใช้เป็นฐานสำหรับเปรียบเทียบราคาที่ผู้ยื่นข้อเสนอได้ยื่นเสนอไว้ ซึ่งสามารถจัดซื้อจัดจ้างได้จริงตามลำดับ ดังต่อไปนี้

  1. ราคาที่ได้มาจากการคำนวณตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการราคากลางกำหนด
  2. ฐานข้อมูลราคาอ้างอิงของกรมบัญชีกลาง
  3. ราคามาตรฐานของสำนักงบประมาณหรือหน่วยงานอื่น
  4. สืบราคาจากท้องตลาด
  5. ราคาที่เคยซื้อหรือจ้างครั้งหลังสุดภายใน 2 ปีงบประมาณ
  6. ราคาตามหลักเกณฑ์อื่นของหน่วยงานของรัฐ

*กรณีที่มีราคาตามข้อ 1 ให้ใช้ข้อ 1. ก่อน หากไม่มีให้พิจารณาข้ออื่นตามลำดับ

**จะใช้ราคาใดให้คำนึงถึงประโยชน์ของหน่วยงานของรัฐเป็นสำคัญ

รายงานขอซื้อ หรือขอจ้าง ระเบียบฯ ข้อ 22 อย่างน้อยต้องมีรายการดังนี้

  1. เหตุผลและความจำเป็นที่ต้องซื้อหรือจ้าง
  2. ขอบเขตของงาน หรือรายละเอียดคุณลักษณะเฉพาะของพัสดุ หรือแบบรูปรายการงานก่อสร้างที่จะซื้อหรือจ้าง แล้วแต่กรณี
  3. ราคากลางของพัสดุที่จะซื้อหรือจ้าง
  4. วงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง โดยให้ระบุวงเงินงบประมาณ ถ้าไม่มีวงเงินดังกล่าวให้ระบุวงเงิน ที่ประมาณว่าจะซื้อหรือจ้างในครั้งนั้น
  5. กำหนดเวลาที่ต้องการใช้พัสดุนั้น หรือให้งานนั้นแล้วเสร็จ
  6. วิธีที่จะซื้อหรือจ้างและเหตุผลที่ต้องซื้อหรือจ้างโดยวิธีนั้น
  7. หลักเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกข้อเสนอ
  8. ข้อเสนออื่น ๆ เช่น การขออนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จำเป็นในการซื้อหรือจ้าง การออกประกาศและเอกสารเชิญชวน และหนังสือเชิญชวน

การแต่งตั้งคณะกรรมการซื้อหรือจ้าง ระเบียบฯ ข้อ 25

การซื้อหรือจ้างแต่ละครั้ง ให้หัวหน้าหน่วยงานของรัฐแต่งตั้ง “คณะกรรมการซื้อหรือจ้าง” เพื่อปฏิบัติการตามระเบียบนี้ พร้อมกับกำหนดระยะเวลาในการพิจารณาของคณะกรรมการ แล้วแต่กรณี คือ

  1. คณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์
  2. คณะกรรมการพิจารณาผลการสอบราคา
  3. คณะกรรมการซื้อหรือจ้างโดยวิธีคัดเลือก
  4. คณะกรรมการซื้อหรือจ้างโดยวิธีเฉพาะเจาะจง
  5. คณะกรรมการตรวจรับพัสดุ

องค์ประกอบของคณะกรรมการ ระเบียบฯ ข้อ 26

ประธาน 1 คน

กรรมการ อย่างน้อย 2 คน

แต่งตั้งจากข้าราชการ ลูกจ้างประจำ พนักงานราชการ พนักงานมหาวิทยาลัย พนักงานของรัฐ พนักงานหน่วยงานของรัฐ หรือที่เรียกชื่ออย่างอื่น โดยคำนึงถึงลักษณะหน้าที่และความรับผิดชอบของผู้ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นสำคัญ

ในกรณีจำเป็นหรือเพื่อประโยชน์ของหน่วยงานของรัฐจะแต่งตั้งบุคคลอื่นร่วมเป็นกรรมการด้วยก็ได้ แต่จำนวนกรรมการที่เป็นบุคคลอื่นจะต้องไม่มากกว่าจำนวนกรรมการตามวรรคหนึ่ง

ข้อห้าม    ในการซื้อหรือจ้างครั้งเดียวกัน ห้ามแต่งตั้งผู้ที่เป็นกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ กรรมการพิจารณาผลการสอบราคา หรือกรรมการซื้อหรือจ้างโดยวิธีคัดเลือก เป็นกรรมการตรวจรับพัสดุ

คณะกรรมการซื้อหรือจ้างทุกคณะ ควรแต่งตั้งผู้ชำนาญการ หรือผู้ทรงคุณวุฒิเกี่ยวกับงานซื้อหรือจ้างนั้น ๆ เข้าร่วมเป็นกรรมการด้วย

การซื้อหรือจ้าง โดยวิธีคัดเลือก

มาตรา 56 การจัดซื้อจัดจ้างพัสดุ ให้หน่วยงานของรัฐเลือกใช้วิธีประกาศเชิญชวนทั่วไปก่อน

เว้นแต่ (1) กรณีดังต่อไปนี้ ให้ใช้วิธีคัดเลือก

  • ใช้วิธีประกาศเชิญชวนทั่วไปแล้ว ไม่มีผู้ยื่นข้อเสนอ หรือข้อเสนอไม่ได้รับการคัดเลือก
  • พัสดุที่มีคุณลักษณะเฉพาะเป็นพิเศษหรือซับซ้อน หรือต้องผลิต ก่อสร้าง หรือให้บริการ โดยผู้ประกอบการที่มีฝีมือโดยเฉพาะ หรือมีความชำนญเป็นพิเศษ หรือมีทักษะสูงและผู้ประกอบการมีจำนวนจำกัด
  • มีความจำเป็นเร่งด่วน อันเนื่องมาจากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่อาจคาดหมายได้
  • ลักษณะของการใช้งาน หรือมีข้อจำกัดทางเทคนิคที่จำเป็นต้องระบุยี่ห้อเป็นการเฉพาะ
  • ต้องซื้อโดยตรงจากต่างประเทศ หรือดำเนินการโดยผ่านองค์การระหว่างประเทศ
  • ใช้ในราชการลับ หรือเป็นงานที่ต้องปกปิดเป็นความลับของทางราชการ หรือเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ
  • งานจ้างซ่อมพัสดุที่จำเป็นถอดตรวจให้ทราบความชำรุดเสียหายเสียก่อน จึงจะประมาณค่าซ่อมได้
  • กรณีอื่นที่กำหนดในกฎกระทรวง

 วิธีเฉพาะเจาะจง

มาตรา 56(2) (ข) : กรณีวงเงินไม่เกิน 5 แสนบาท ประกอบระเบียบกระทรวงการคลังฯ ข้อ 79 วรรคสอง

ข้อยกเว้น : กรณีจำเป็นเร่งด่วน /ไม่ได้คาดหมายไว้ก่อน /ดำเนินการตามปกติไม่ทัน

วิธีการ :      เจ้าหน้าที่ หรือ ผู้รับผิดชอบดำเนินการไปก่อน

รายงานขอความเห็นชอบหัวหน้าหน่วยงานของรัฐ

เมื่อได้รับความเห็นชอบแล้ว ให้ถือว่ารายงานดังกล่าวเป็นหลักฐานการตรวจรับ

ผลของสัญญา

          หลักการ : สัญญามีผลนับตั้งแต่วันที่คู่สัญญาได้ลงนามในสัญญา

          ยกเว้น : คู่สัญญามีข้อตกลงกำหนดเงื่อนไขกันไว้ในสัญญาเป็นอย่างอื่น

ค่าปรับ (เบี้ยปรับ) ค่าเสียหาย

          ค่าปรับ (เบี้ยปรับ) เป็นค่าเสียหายที่คู่สัญญาได้ตกลงกันไว้ล่วงหน้า ไม่ต้องพิสูจน์ความเสียหาย

          ค่าเสียหาย เป็นสิทธิเรียกร้องของคู่สัญญาเมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้นแล้ว ต้องพิสูจน์ความเสียหาย

 

การบริหารงานบุคคลและคดีปกครองเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล

          พนักงานมหาวิทยาลัย หรือพนักงานในสถาบันอุดมศึกษา คือ บุคคลซึ่งได้รับการจ้างตามสัญญาให้ปฏิบัติหน้าที่ในสถาบันอุดมศึกษา โดยได้รับค่าจ้างหรือค่าตอบแทนจากเงินงบประมาณแผ่นดิน หรือเงินรายได้ของสถาบันอุดมศึกษา

          ปัญหาเกี่ยวกับการกำหนดประเภทคดีปกครอง กรณีที่ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยฟ้องขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ มหาวิทยาลัยต้นสังกัดซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองชดใช้ค่าเสียหายอันเกิดจากการพิจารณาเลื่อนเงินเดือนที่ไม่เป็นธรรม การละเลยไม่พิจารณาผลการประเมินการปฏิบัติงานเพื่อเลื่อนเงินเดือน การพิจารณาเลื่อนเงินเดือนล่าช้า การมอบหมายงานในตำแหน่งหน้าที่ไม่ตรงกับภาระงาน การไม่จ่ายงานสอนและประเมินผลงานให้ไม่ผ่านเกณฑ์ การไม่จ่ายเงินค่าชดเชยเมื่อออกจากงาน หรือการเลิกจ้างโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จะเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว

          พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542

               มาตรา 9 วรรคหนึ่ง ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในเรื่องดังต่อไปนี้

  1. คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่ว่าจะเป็นการออกกฎ คำสั่งหรือการกระทำอื่นใด เนื่องจากกระทำโดยไม่มีอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือโดยไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอนหรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำนั้น หรือโดยไม่สุจริต หรือมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม หรือมีลักษณะเป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จำเป็นหรือสร้างภาระให้เกิดกับประชาชนเกินสมควร หรือเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ
  2. คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร
  3. คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดชอบอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ อันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎคำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร
  4. คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง
  5. คดีที่มีกฎหมายกำหนดให้หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐฟ้องคดีต่อศาลเพื่อบังคับให้บุคคลต้องกระทำหรือละเว้นกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง
  6. คดีพิพาทเกี่ยวกับเรื่องที่มีกฎหมายกำหนดให้อยู่ในอำนาจศาลปกครอง

 

               มาตรา 3 ในพระราชบัญญัตินี้

                   “สัญญาทางปกครอง” หมายความรวมถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งกระทำการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ

 

               ที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดมีมติว่า  การที่ผู้ฟ้องคดีเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย ฟ้องขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้มหาวิทยาลัยต้นสังกัด ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองชดใช้ค่าเสียหารอันเกิดจากการพิจารณาเลื่อนเงินเดือนที่ไม่เป็นธรรม การละเลยไม่พิจารณาผลการประเมินการปฏิบัติงานเพื่อเลื่อนเงินเดือน การพิจารณาเลื่อนเงินเดือนล่าช้า การมอบหมายงานในตำแหน่งหน้าที่ไม่ตรงกับภาระงาน การไม่จ่ายงานสอนและประเมินผลงานให้ไม่ผ่านเกณฑ์ การไม่จ่ายเงินค่าชดเชยเมื่อออกจากงาน หรือการเลิกจ้างโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4) แห่ง พรบ.จัดตั้งศาลปกครองฯ

 

               คดีพิพาทเกี่ยวกับการไม่ต่อสัญญาจ้าง (มีตัวอย่างคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดเป็นกรณีศึกษา)

  1. เมื่อสัญญาจ้างสิ้นสุดลง การจะต่อสัญญาจ้างหรือไม่ เป็นดุลพินิจของคู่สัญญา
  2. สัญญาจ้างกำหนดเงื่อนไขว่า ต้องมีการประเมินผลงานจึงจะต่อสัญญาจ้าง เมื่อหน่วยงานไม่ประเมินในขณะที่ภารกิจของงานยังมีอยู่ ถือว่าหน่วยงานผิดสัญญา
  3. สัญญาจ้างระบุว่า จะต่ออายุสัญญาจ้างเมื่อผ่านการประเมินผลการปฏิบัติงาน เมื่อไม่ผ่านการประเมิน หน่วยงานย่อมเลิกจ้างได้
  4. แม้ว่าจะผ่านการประเมินผลการปฏิบัติงาน แต่หน่วยงานไม่ต่อสัญญาให้ก็ได้

 

การบริหารงานบุคคล

           ต้องคำนึงถึงระบบคุณธรรม และศาลปกครองนำระบบคุณธรรมมาใช้ในการพิจารณาตัดสินคดี

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานบุคคล

  1. การจัดระเบียบข้าราชการพลเรือนสามัญตาม พรบ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551
  2. การดำเนินการ พรบ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547
  3. พรบ.ระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ.2547

สาระสำคัญของระบบคุณธรรม

  1. หลักความเสมอภาค
  2. หลักความสามารถ

(มีตัวอย่างคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดเป็นกรณีศึกษา)

การดำเนินการทางวินัย  (มีตัวอย่างคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดเป็นกรณีศึกษา)

ข้าราชการทีกระทำผิดวินัย แม้ต่อมาจะได้ออกจากราชการ (มิใช่ตาย) ผู้บังคับบัญชาก็ยังสามารถดำเนินการทางวินัยต่อไปได้ เสมือนยังไม่ได้ออกจากราชการ โดยมีหลักเกณฑ์ดังนี้

ก่อนออกจากราชการ มีการกล่าวหาเป็นหนังสือว่า ขณะรับราชการกระทำความผิดวินัยอย่างร้ายแรง หรือมีกรณีถูกฟ้องคดีอาญา หรือต้องหาว่ากระทำผิดอาญา เว้นแต่ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทไม่เกี่ยวกับราชการ หรือความผิดลหุโทษ : แต่ต้องสั่งลงโทษภายใน 3 ปีนับแต่วันที่ผู้นั้นออกจากราชการ (มาตรา 53 วรรคหนึ่ง แห่ง พรบ.ระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ.2562 ฉบับที่ 4)

พรบ.ระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ.2562 ฉบับที่ 4 มาตรา 53/1 ในกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือคณะกรรมการ ป.ป.ท. มีมติชี้มูลความผิดข้าราชการพลเรือนสถาบันอุดมศึกษาผู้ใดซึ่งออกจากราชการแล้ว การดำเนินการทางวินัยและสั่งลงโทษแก่ข้าราชการพลเรือนสถาบันอุดมศึกษาผู้นั้นให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตหรือกฎหมายว่าด้วยมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแล้วแต่กรณี

มีปัญหาว่า ขณะนี้ยังไม่มีหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ตามมาตรา 100/1 แห่ง พรบ.ระเบียบข้าราชการพลเรือนฯ หาก ป.ป.ช. หรือ ป.ป.ท. มีมติชี้มูลความผิดในขณะที่ข้าราชการพลเรือนผู้นั้นได้ออกจากราชการไปแล้ว ผู้มีอำนาจดำเนินการทางวินัยจะต้องออกคำสั่งลงโทษตามมติชี้มูลความผิดทางวินัยของ ป.ป.ช. หรือ ป.ป.ท. ภายในระยะเวลาเท่าใด นับแต่วันที่ผู้นั้นออกจากราชการ

บทสรุป ขณะรับราชการกระทำความผิดวินัยอย่างร้ายแรง แม้จะออกจากราชการไปแล้ว ก็ยังดำเนินการทางวินัยได้ ไม่ว่าจะมีการกล่าวหาก่อนหรือภายหลังออกจากราชการไปแล้วก็ตาม

 

--------------------------------------

ข้อมูลอ้างอิง : เอกสารประกอบการอบรม

  1. การบริงานบุคคลและคดีปกครองเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล
  2. ระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560

คำสำคัญ :
กลุ่มบทความ :
หมวดหมู่ :
แชร์ :
https://erp.mju.ac.th/acticleDetail.aspx?qid=1284
ความคิดเห็นทั้งหมด (0)
ไม่มีข้อมูลตามเงื่อนไขที่ท่านกำหนด
รายการบทความการแลกเปลี่ยนเรียนรู้หมวดหมู่ : กลุ่มงานบริหารงานทั่วไป
คนึงนิตย์ กอนแสง » การให้บริการที่เป็นเลิศ
หลักการและหัวใจสำคัญในการบริการที่เป็นเลิศ ต้องมีความรู้ ประสบการณ์ ค่านิยม ความเชื่อ โดยต้องสังเกตุหรือทราบถึงสถานะ เรื่องราว และกลยุทธ์ในการให้บริการ หลักการจิตวิทยาบริการ ได้แก่ ยิ้มทักทายจากห...
การให้บริการที่เป็นเลิศ     กลุ่มงานตามสมรรถนะบุคลากร   กลุ่มงานบริหารงานทั่วไป
ผู้เขียน คนึงนิตย์ กอนแสง  วันที่เขียน 16/11/2566 11:37:33  แก้ไขล่าสุดเมื่อ 9/10/2567 13:54:07   เปิดอ่าน 3292  ครั้ง | แสดงความคิดเห็น 0  ครั้ง
คนึงนิตย์ กอนแสง » การจัดเตรียมวาระการประชุม การทำบันทึกเสนอที่ประชุม และการทำรายงานการประชุม
การจัดทำหนังสือและเอกสารเกี่ยวกับการประชุม โดยปกติ ประกอบด้วย การกำหนดนัดหมายการประชุม หนังสือเชิญประชุม และหนังสือเชิญผู้เข้าร่วมประชุม (ถ้ามี) ระเบียบวาระการประชุม และเอกสารการประชุมอื่นตามกฎหมา...
  กลุ่มงานตามสมรรถนะบุคลากร   กลุ่มงานบริหารงานทั่วไป
ผู้เขียน คนึงนิตย์ กอนแสง  วันที่เขียน 29/9/2566 17:39:49  แก้ไขล่าสุดเมื่อ 7/10/2567 8:20:41   เปิดอ่าน 371  ครั้ง | แสดงความคิดเห็น 0  ครั้ง
คนึงนิตย์ กอนแสง » การเขียนหนังสือราชการ : เสริมทักษะการเขียนหนังสือราชการ
การเขียนหนังสือราชการ ต้องมีศาสตร์และศิลป์ คือ เขียนให้ดี สร้างสรรค์ เขียนให้คนอ่านรู้เรื่อง สื่อเข้าใจ ตรงกัน เรียบง่าย กระชับ ภาษาสวย ไม่ซับซ้อน ไม่ต้องตีความ บรรลุวัตถุประสงค์และเป็นผลดี ไม่ให้เ...
  กลุ่มงานตามสมรรถนะบุคลากร   กลุ่มงานบริหารงานทั่วไป
ผู้เขียน คนึงนิตย์ กอนแสง  วันที่เขียน 30/8/2565 9:27:44  แก้ไขล่าสุดเมื่อ 9/10/2567 14:20:26   เปิดอ่าน 9040  ครั้ง | แสดงความคิดเห็น 0  ครั้ง