การอบรมเรื่อง “Dynamic Meditation ”
โดย พระพุทธยานันทภิกขุ
วันที่ 5-9 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา 4.30-21.00 น.
ณ สวนพันดาว อ. สันทราย จ. เชียงใหม่
การอบรมครั้งนี้เริ่มจาก องค์กรเอกชนเพื่อสาธารณประโยชน์หรือ NGO=Non Govermental Oganizations ต้องการริเริ่ม Workshop เพื่อนำร่องการทำงานพัฒนาความสุขมวลรวมประชาชาติวิถีพุทธร่วมกันระหว่าง กลุ่ม NGO จากประเทศแคนาดา อังกฤษ ภูฏาน และไทย ณ สวนพันดาว เชียงใหม่ โดยจัดให้มีการฝึกสติหรือเจริญสติแบบเคลื่อนไหว (Dynamic Meditation)ระหว่างวันที่ 5-9 กุมภาพันธ์ 2560
ในการอบรมครั้งนี้พระพุทธยานันทภิกขุ ได้เริ่มการอบรมโดยให้มีการแนะนำตัวเอง เล่าถึงที่มาของการอบรมและให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากการทำงานของแต่ละคนจากหลายๆประเทศ และท่านได้สอนวิธีการฝึกหรือเจริญสติแบบเคลื่อนไหว(Dynamic Meditation) ซึ่งเป็นแนวการเจริญสติของหลวงพ่อเทียน
ถ้าพูดในฐานะชาวต่างชาติก็อาจถามว่า ทำไมต้องมีการฝึกหรือเจริญสติ ถ้าพูดแบบชาวพุทธ ก็คือ ทำไมต้องมีการปฏิบัติธรรม จากการแลกเปลี่ยนพูดคุยกันเกี่ยวกับการทำงาน พบว่า เวลาทำงานและเกิดปัญหาต่างๆขึ้นมา สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ เราต้องรักษาใจของเราให้มั่นคงไม่หวั่นไหวต่ออุปสรรคทั้งปวง เพราะเวลาเกิดปัญหาหรืออุปสรรค หากเราหวั่นไหวจะเกิดการท้อถอย เครียดซึ่งจะมีผลต่อสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ และส่งผลต่อการทำงานอย่างเห็นได้ชัด
ผู้ที่ไม่มีความมั่นคงทางจิตใจก็เกิดการท้อถอยและล้มเหลวในหารทำงานหรือทำงานได้ไม่ดีพอ แต่ผู้ที่มี มีความมุ่งมั่นไม่ท้อถอยก็อาจประสบผลสำเร็จมากกว่า อย่างไรก็ตามผู้ที่มีความมุ่งมั่นแต่พบว่ายังมีความหวั่นไหวทางจิตใจ เกิดอาการเครียดตามมา ก็ต้องหาทางออก และพบว่า การเจริญสติหรือการปฏิบัติธรรมเป็นหนทางที่ช่วยเขาได้ เนื่องจากหากตัวเรามีความสงบ ร่มเย็นและมั่นคงในจิตใจ ก็ย่อมส่งผลให้สามารถจัดการกับเหตุการณ์ทุกอย่างที่เข้ามาได้
โดยสรุป การทำงานใดๆก็ตาม ถ้าจะให้ประสบผลสำเร็จแล้วควรต้องเริ่มจากตนเอง
คำถามต่อมา คือ ทำไมต้องมีการฝึกสติหรือเจริญสติแบบเคลื่อนไหว (Dynamic Meditation) พระพุทธยานันทภิกขุ ได้อธิบายให้ฟังว่า เนื่องจากการเคลื่อนไหวเป็นธรรมชาติของทุกคนอยู่แล้ว ดังนั้นการเจริญสติแบบนี้ จึงเหมาะกับผู้คนในโลกปัจจุบันที่ต้องมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา ท่านได้ยกตัวอย่างประสบการณ์ของท่านที่เคยเจริญสติแบบอื่นมาและเจอปัญหาอุปสรรคต่างๆ การเจริญสติแบบนี้ทำให้ท่านหลุดพ้นจากปัญหาได้ อีกทั้งท่านเคยทำงานในแบบขององค์กรเอกชนเพื่อสาธารณประโยชน์หรือ NGO มาก่อน
ทำให้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันอย่างตรงประเด็นมากขึ้น
การเจริญสติ ทำให้จิตใจของเราอยู่กับปัจจุบันมากขึ้น ไม่ไหลไปกับความคิดและเกิดอาการปรุงแต่ง เกิดความสงบ เย็นใจไม่รุ่มร้อน ทำให้มองทุกอย่างตามความเป็นจริง ทำให้เผชิญอุปสรรคและปัญหาได้และผ่านพ้นไปได้ หรือถ้ามีปัญหาที่แก้ไม่ได้ ก็จะยอมรับและหาทางออกอย่างอื่นได้. อย่างไรก็ตามการที่จะได้ผลมากหรือน้อยดังกล่าว ก็ต้องขึ้นอยู่กับผู้เจริญสติ ว่ามีความมุ่งมั่น ขยันและตั้งใจทำมากน้อยเพียงใด และต้องใช้เวลาในการฝึกฝน รวมทั้งต้องมีความตั้งใจที่จะฝึกต่อเนื่องด้วยตนเองต่อไป
ระหว่างการอบรม ผู้เข้าอบรมได้ฝึกเจริญสติทั้งในรูปแบบ 14 ท่า และการเดิน ทั้งในรูปการเจริญสติแบบเดี่ยวและรวมกลุ่ม ในวันสุดท้าย คุณชินวร จาริน ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธยา นันทภิกขุจาก Mindfulfarmer.org นำผู้เจริญสติจากนานาชาติมาร่วมเติมเต็มอีก 10 ท่าน
ผู้เขียนได้เข้าร่วมและเห็นประโยชน์ของการเจริญสติแบบนี้ ซึ่งต้องมีการนำมาฝึกต่อด้วยตนเอง เช่นเดียวกับการเรียนรู้อื่นๆ เช่น การเรียนภาษาอังกฤษ เราได้รับการอบรมมาพออ่านหรือพูดได้ แต่หากไม่นำมาฝึกต่อด้วยตนเองทุกวัน เราก็อาจลืมหรือไม่มีความก้าวหน้าในการพูดภาษาอังกฤษเลย