“ดูแล(ตา)ตัวเองด้วยนะ...”
ผู้เขียน : ปาณิศา คงสมจิตต์
นักเอกสารสนเทศ : ห้องสมุดคณะผลิตกรรมการเกษตร
แทบจะกล่าวได้ว่าในสมัยปัจจุบัน โดยเฉพาะคนยุคใหม่ที่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีและอุปกรณ์ไอที เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยในการทำงานหรือชีวิตประจำวันที่ต้องข้องเกี่ยวกับโลกของโซเชียล ออนไลน์ มักจะหลีกหนีไม่พ้นในการที่จะต้องใช้สายตาผ่านหน้าจอต่างๆ อาทิเช่น จอคอมพิวเตอร์ จอสมาร์ทโฟน จอแท็บเล็ต จอโทรทัศน์ เพื่อที่จะดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม ดูซีรีส์ ส่งอีเมล์ เล่นเฟซบุ๊คส์ ส่งข้อความ เล่นไลน์ ฯลฯ
กิจกรรมที่หลากหลายเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่ทำให้เราต้องใช้สายตาผ่านหน้าจอต่าง ๆ โดยเฉลี่ยถึงวันละ 8 – 10 ชั่วโมง ก็จะมีผลทำให้กล้ามเนื้อลูกตาของเราต้องทำงานหนัก จากสถิติพบว่าถ้าคนเราใช้สายตาอยู่กับหน้าจอนานต่อเนื่องมากกว่า 3 ชั่วโมงต่อวัน จะทำให้เกิดอาการตาเบลอ ตาแห้ง แสบตา สู้แสงไม่ได้ ซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายที่เราไม่รู้ตัวและหากใช้สายตามากขึ้นก็จะเกิดอาการคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม (Computer Vision Syndrome) ซึ่งนอกจากจะทำให้เกิดผลเสียต่อสายตาแล้ว ก็ยังจะมีอาการของกล้ามเนื้อด้วย เช่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยบ่า ต้นคอ โดยถ้ามีอาการปวดมากก็จะทำให้นอนไม่หลับ และถ้าพักผ่อนไม่เพียงพอด้วยแล้วก็จะเป็นสาเหตุให้เกิดโรคอื่นตามมาได้
สำหรับอาการคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม (Computer Vision Syndrome) มักจะเกิดขึ้นกับคนที่ทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานานๆ เช่น เกิน 2- 3 ชั่วโมง มักจะมีอาการปวดตา ตาเมื่อยล้า ตาแห้ง แสบตา ตาพร่ามัว ตาสู้แสงไม่ได้ ปวดเมื่อยบ่า ไหล่ คอ หรือปวดหลัง และบ่อยครั้งที่จะมีอาการปวดหัวร่วมด้วย อาการทางสายตาเหล่านี้เกิดจากการจ้องดูข้อมูลบนคอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานานเกินไป เรียกกลุ่มอาการเหล่านี้ว่า “คอมพิว เตอร์วิชั่นซินโดรม (Computer Vision Syndrome)” หรือ “โรคซีวีเอส” โดยอาการเหล่านี้พบได้ถึงร้อยละ 75 ของบุคคลที่ใช้คอมพิวเตอร์
ในอดีตโรคทางสายตามักจะเกิดกับผู้ที่มีอายุเกิน 50 ปี ขึ้นไป แต่ในยุคสมัยนี้ ที่จัดว่าเป็นยุค Gen Me ( Me Generation คนในยุค Gen Me จะมีลักษณะที่อยากมีตัวตนในสังคม อยากอวดเรื่องของตัวเองให้คนอื่นรับรู้ มีความมั่นใจในตัวเองและอยากรู้อยากเห็นเรื่องของชาวบ้าน อยากโพสต์รูป โพสต์ข้อความ กดแชร์ เรียกไลค์ (Like) สร้างกระแสให้คนอื่นสนใจตัวเอง ) วิถีชีวิตของคนยุค Gen Me ที่อยู่ในกลุ่มวัยทำงานและกลุ่มวัยรุ่นต้องใช้เทคโนโลยีทางด้านไอทีกันค่อนข้างมาก จึงส่งผลให้สุขภาพทางสายตาของคนไทยมากกว่า 15 ล้านคน มีสายตาที่ผิดปกติ โดยในจำนวนนี้คาดว่าจะมีคนไทยตาบอดและสายตาเลือนรางไม่ต่ำว่า 1 ล้านคน ผู้เขียนอยากให้คุณผู้อ่านได้สำรวจพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันของตัวเองดูก่อนว่าเราจัดเข้าข่ายอยู่ในกลุ่มคนที่จำเป็นต้องอยู่หน้าจอต่างๆ เป็นเวลานานหรือไม่ หากจำเป็นก็จะต้องรู้จักดูแลป้องกันถนอมสายตาของตัวเราเอง ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้
ลองมาดูวิธีการช่วยป้องกันและดูแลถนอมสายตากันค่ะ....
1. เมื่อต้องนั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ให้หมั่นพักสายตาทุก 15 นาที หรือกะะพริบตาให้บ่อยขึ้น
2. ปรับแสงหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้พอเหมาะหรือนั่งทำงานในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ
3. ปรับขนาดตัวหนังสือให้มีขนาดใหญ่ขึ้น อ่านได้ง่ายชัดเจน
4. หากดวงตาเกิดอาการล้า ให้นวดคลึงเบาๆ และควรบริหารดวงตาด้วยการกลอกตาไปรอบๆ เป็นวงกลม สัก 5 – 6 รอบ และใช้นิ้วนางทั้ง 2 นิ้ว แตะที่หัวตาแต่ละข้าง คลึงเบาๆ แบบกดจุด นานประมาณ 1 – 2 วินาที
5 รับประทานอาหารที่มีวิตามินเอ เพื่อช่วยบำรุงสายตาและทานผัก-ผลไม้ ต่างๆ โดยเฉพาะผลไม้ตระกูลเบอรี่ เช่น สตรอเบอรี่ ราสเบอรี่ ฯลฯ ซึ่งมีแอนโธไซยานินและสารต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยคลายความเหนื่อยล้าของดวงตาและช่วยถนอมดวงตาไม่ให้โดนทำลาย
ผู้เขียนก็หวังว่า บทความเรื่องนี้ก็คงพอเป็นแนวทางให้คุณผู้อ่านที่ต้องใช้ชีวิตติดอยู่กับหน้าจอนานๆ นำไปประยุกต์และดูแล(ตา)ตัวเอง กันได้บ้างนะคะ ฝากทิ้งท้ายด้วยภาษิตที่บอกว่า
“ อัตตาหิ อัตตาโนนาโถ ตน...แล เป็นที่พึ่งแห่งตน” ดูแลตัวเองกันด้วยนะคะ......
*แหล่งอ้างอิง
- คอลัมน์หมายเหตุประชาชน . หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ : หน้า 8 , ฉบับวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2557.
- คอลัมน์ชีวิตและสุขภาพ . หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ : หน้า 6 , ฉบับวันที่ 9 มีนาคม 2557.
- guru.sanook.com/8053/โรคคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม- (Computer – Vision- Syndrome) (ออนไลน์) 7 พฤษภาคม 2557.
- policeprinting.police.go.th/ppb/?p=1297(ออนไลน์) 7 พฤษภาคม 2557.
- talk.mthai.com/topic/384209 (ออนไลน์) 7 พฤษภาคม 2557.