กระบวนการพัฒนางานประจำสู่นวัตกรรมการให้บริการ
วันที่เขียน 27/6/2567 14:10:39     แก้ไขล่าสุดเมื่อ 21/11/2567 15:43:07
เปิดอ่าน: 233 ครั้ง

การพัฒนางานประจำสู่นวัตกรรมการให้บริการนั้นเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและความพยายาม รวมถึงการมีส่วนร่วมจากพนักงานทุกระดับในองค์กร การนำเทคโนโลยีและการปรับปรุงกระบวนการมาใช้ จะช่วยให้องค์กรสามารถสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันและตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งมีประโยชน์มากมายที่ช่วยให้องค์กรเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ปรับปรุงคุณภาพการให้บริการ สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า และเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การนำเทคโนโลยีและการปรับปรุงกระบวนการเข้ามาใช้ยังช่วยเสริมสร้างการพัฒนาทักษะและความรู้ของพนักงาน ส่งเสริมวัฒนธรรมการสร้างสรรค์ และการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

การอบรมการพัฒนางานประจำสู่นวัตกรรมการให้บริการ
24 มกราคม 2567 ผ่านระบบออนไลน์ ด้วย Zoom Cloud Meeting
วิทยากรโดย : ดร.จรงค์ศักดิ์ พุมนวล
ผู้อบรม : นางภาวิณี จีปูคำ ตำแหน่งนักวิชาการศึกษา
********

       การพัฒนางานประจำสู่นวัตกรรมการให้บริการเป็นกระบวนการที่สำคัญสำหรับองค์กรทุกขนาด เพื่อให้สามารถปรับตัวและเติบโตในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยองค์ประกอบที่สำคัญของการพัฒนางานประจำสู่นวัตกรรมการให้บริการ แบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ๆ คือ
       ส่วนที่ 1 ปัญหาหน้างาน/สิ่งที่อยากพัฒนาให้ดีขึ้น
                  (1) มีการวิเคราะห์ปัญหาและอุปสรรค
                  (2) การศึกษาความต้องการของผู้รับ/ผู้ให้บริการ
                  (3) ได้แนวทางการปรับปรุง/แก้ไข/พัฒนา
       ส่วนที่ 2 การแก้ไข/ปรับปรุง/พัฒนา (ใช้/ไม่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล)
                  (1) ให้เป็นไปตามระเบียบและทันสมัย
                  (2) เลือกใช้วิธีการที่เหมาะสม (อ้างอิงได้)
                  (3) อธิบายอย่างละเอียด
       ส่วนที่ 3 การประเมินผลนวัตกรรมการให้บริการ
                  (1) การประเมินประสิทธิภาพของการแก้ไข/ปรับปรุง/พัฒนา (ดีขึ้นกว่าเดิมอย่างไร)
                  (2) การประเมินความพึงพอใจของผู้รับบริการ

       โดยมีแนวทางเบื้องต้นในการพัฒนางานประจำสู่นวัตกรรมการให้บริการ ดังนี้
        1. วิเคราะห์ปัญหาและโอกาส
            การเริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์ปัญหาที่พบในกระบวนการทำงานปัจจุบันและหาโอกาสในการพัฒนาให้ดีขึ้น โดยการระบุปัญหา รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นในกระบวนการทำงาน และหาโอกาสวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้าและตลาด เพื่อหาโอกาสในการสร้างสรรค์บริการใหม่ ๆ โดยดูจากแนวโน้มงานพัฒนางานประจำของสายสนับสนุน ตาม link : https://erp.mju.ac.th/openFile.aspx?id=NjQ1MDU3&method=inline และแนวคิดการพัฒนางานประจำจากปัญหาหน้างานสู่นวัตกรรมการให้บริการ ตาม link : https://erp.mju.ac.th/openFile.aspx?id=NjQ1MDU4&method=inline 
        2. การนำเทคโนโลยีมาใช้ 
            การนำเทคโนโลยีมาใช้เป็นส่วนสำคัญในการสร้างนวัตกรรม อาทิเช่น
                 - ระบบอัตโนมัติ ใช้เครื่องมือและซอฟต์แวร์ในการทำงานซ้ำซากหรือที่ใช้เวลานาน
                 - การจัดการข้อมูล ใช้ฐานข้อมูลและระบบการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อปรับปรุงการตัดสินใจ
                 - แพลตฟอร์มดิจิทัล นำแพลตฟอร์มออนไลน์มาใช้ในการให้บริการลูกค้า เช่น เว็บไซต์ แอปพลิเคชัน
        3. การปรับปรุงกระบวนการ
            การปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการใช้แนวคิด Lean และ Six Sigma เพื่อลดความสูญเสียและเพิ่มประสิทธิภาพ และการออกแบบกระบวนการใหม่ (Reengineering) การสร้างกระบวนการใหม่ทั้งหมดเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพ
        4. การฝึกอบรมและพัฒนาทักษะพนักงาน
            การพัฒนาทักษะและความรู้ของพนักงานเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างนวัตกรรม เช่น การฝึกอบรมจัดโปรแกรมฝึกอบรมเพื่อเพิ่มทักษะที่จำเป็น หรือการเสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กร ส่งเสริมให้พนักงานมีความคิดสร้างสรรค์และกล้าที่จะลองทำสิ่งใหม่ ๆ
        5. การรวบรวมและนำฟีดแบคมาปรับปรุง
            การรับฟังความคิดเห็นจากลูกค้าและพนักงานเพื่อนำมาปรับปรุงบริการ โดยการการสำรวจความพึงพอใจและความคิดเห็นของลูกค้า การประเมินผลการทำงานของพนักงานและกระบวนการอย่างต่อเนื่อง
       6. การวัดผลและประเมินผล
           การติดตามและประเมินผลการดำเนินงานเพื่อให้มั่นใจว่านวัตกรรมที่พัฒนาไปนั้นได้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวัง โดยกำหนดตัวชี้วัดที่สำคัญเพื่อวัดผลความสำเร็จ Key Performance Indicators (KPIs) และการวิเคราะห์ผลลัพธ์และปรับปรุงกระบวนการตามความจำเป็น

ประโยชน์ของการพัฒนางานประจำสู่นวัตกรรมการให้บริการ
       1. เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ลดความซ้ำซ้อนซึ่งการใช้เทคโนโลยีและการปรับปรุงกระบวนการช่วยลดงานที่ซ้ำซ้อนและเพิ่มความรวดเร็วในการทำงาน ประหยัดเวลาและทรัพยากรจากการใช้ระบบอัตโนมัติและการจัดการข้อมูลที่ดีช่วยลดเวลาที่ใช้ในการทำงานและลดต้นทุนการดำเนินงาน
       2. ปรับปรุงคุณภาพของการให้บริการ การใช้เทคโนโลยีในการทำงานช่วยเพิ่มความถูกต้องและลดข้อผิดพลาดที่เกิดจากมนุษย์ การปรับปรุงกระบวนการและการนำฟีดแบคมาปรับปรุงช่วยให้บริการมีคุณภาพสูงขึ้นและตรงตามความต้องการของลูกค้ามากขึ้น
       3. สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า การนำเทคโนโลยีมาใช้ช่วยให้การตอบสนองต่อคำขอของลูกค้าเร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และการใช้ระบบออนไลน์และแอปพลิเคชันช่วยให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่สะดวกและน่าพึงพอใจมากขึ้น
       4. เสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน การพัฒนานวัตกรรมช่วยให้องค์กรสามารถสร้างผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ ที่มีคุณค่าและโดดเด่นกว่าคู่แข่ง โดยองค์กรที่มีการพัฒนานวัตกรรมมีความยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงในตลาดได้ดีกว่า
       5. ส่งเสริมการพัฒนาทักษะและความรู้ของพนักงาน พนักงานมีโอกาสเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ๆ และพัฒนาทักษะที่จำเป็นในการทำงานในอนาคต ซึ่งการมีส่วนร่วมในการพัฒนานวัตกรรมทำให้พนักงานรู้สึกมีคุณค่าและมีส่วนร่วมในความสำเร็จขององค์กร
       6. ส่งเสริมวัฒนธรรมการสร้างสรรค์และการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง วัฒนธรรมที่ส่งเสริมการสร้างสรรค์ทำให้พนักงานกล้าที่จะนำเสนอและทดลองความคิดใหม่ ๆ การปรับปรุงกระบวนการและบริการอย่างต่อเนื่องทำให้องค์กรมีการพัฒนาที่ไม่หยุดนิ่งและสามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง

      ซึ่งในการอบรมครั้งนี้ ผู้อบรมในงานบริการการศึกษาและกิจการนักศึกษา คณะบริหารธุรกิจ ได้วิเคราะห์หน้างานโดยการถอดบทเรียนที่ได้จากการทำงาน ตามองค์ประกอบที่ 1 - 2 ภายในงานมีความเห็นตรงกันในเรื่องของการจัดสอบ ตาม link : https://erp.mju.ac.th/openFile.aspx?id=NjQ1MDY2&method=inline และมีการแยกประเด็นปัญหาการจัดสอบออกเป็น 4 ประเด็น คือ (1) แก้ไขได้ทันที (2) แก้ไขไม่ได้ (3) แก้ไขได้ ต้องใช้เวลาในการแก้ไขเล็กน้อย โดยใช้กระบวนการภายในคณะฯ (4) แก้ไข โดยใช้เวลาในการแก้ไขซึ่งต้องใช้กระบวนการภายนอกคณะฯ โดยสรุปออกมาได้ ตาม link : https://erp.mju.ac.th/openFile.aspx?id=NjQ1MDY3&method=inline ทั้งนี้ภายในงานได้ร่วมกันหาแนวทางการแก้ไขในเบื้องต้นโดยแยกตามประเด็นปัญหาการจัดสอบ 4 ประเด็นข้างต้น ออกมาได้ตาม link : https://erp.mju.ac.th/openFile.aspx?id=NjQ1MDY5&method=inline ซึ่งแต่ละกระบวนการต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการร่วมกันทั้งองค์กร และมีการนำนวัตกรรมมาปรับใช้ในลำดับต่อไป

หมายเหตุ
1. การเข้าร่วมการอบรมของงานบริการการศึกษา ได้รับการสนับสนุนงบประมาณการอบรมจำนวน คนละ 1,000 บาท จากคณะบริหารธุรกิจ
2. ข้อมูลดิบที่ได้จากการกลั่นกรอง (ปฐมภูมิ) https://erp.mju.ac.th/openFile.aspx?id=NjQ1MDk4&method=inline 
3. ใบประกาศการผ่านการทดสอบ https://erp.mju.ac.th/openFile.aspx?id=NjQ1MDk1&method=inline 

คำสำคัญ :
กลุ่มบทความ :
หมวดหมู่ :
แชร์ :
https://erp.mju.ac.th/acticleDetail.aspx?qid=1460
ความคิดเห็นทั้งหมด (0)
ไม่มีข้อมูลตามเงื่อนไขที่ท่านกำหนด
รายการบทความการแลกเปลี่ยนเรียนรู้หมวดหมู่ : กลุ่มงานบริการการศึกษา
ความรู้จากการเข้าร่วมอบรม » รู้หรือไม่ สายfiber optic สามารถย่อโลกให้เล็กลงได้
สายfiber optic หรือ สายใยแก้วนําแสง คือ สายสัญญาณชนิดหนึ่งที่ผลิตมาจากแก้ว หุ้มด้วยใยพิเศษเพื่อป้องกันการกระแทก โดยการส่งข้อมูลของเส้นใยแก้วนำแสง นั้นจะทำงานจาก การแปลงสัญญาณข้อมูลไฟฟ้าจากอุปกรณ์ต...
Fiber Optic Cable  ไฟเบอร์ออฟติก  สายใยแก้วนําแสง     กลุ่มงานตามสมรรถนะบุคลากร   กลุ่มงานบริการการศึกษา
ผู้เขียน ประทีป สุขสมัย  วันที่เขียน 6/9/2567 16:49:45  แก้ไขล่าสุดเมื่อ 20/11/2567 6:14:52   เปิดอ่าน 90  ครั้ง | แสดงความคิดเห็น 0  ครั้ง
การศึกษาดูงานบริการการศึกษา ณ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย » KM งานบริการการศึกษาและกิจการนักศึกษา คณะบริหารธุรกิจ จากการเข้าศึกษาดูงาน มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง วันที่ 1 พฤษภาคม 2567 และมหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย วันที่ 3 พฤษภาคม 2567
งานบริการการศึกษาและกิจการนักศึกษา คณะบริหารธุรกิจ มีแผนการพัฒนางานประจำเพื่อนำความรู้ที่ได้มาปรับปรุงงานประจำ หรือพัฒนาให้เกิดนวัตกรรมของงาน จึงได้วางแผนตั้งแต่การขออนุมัติเข้าร่วมอบรม การพัฒนางาน...
KM, งานบริการการศึกษา     กลุ่มงานตามสมรรถนะบุคลากร   กลุ่มงานบริการการศึกษา
ผู้เขียน กฤตาณัฐ ศรีประภา  วันที่เขียน 30/8/2567 14:58:46  แก้ไขล่าสุดเมื่อ 21/11/2567 1:08:38   เปิดอ่าน 141  ครั้ง | แสดงความคิดเห็น 0  ครั้ง