ศึกษาผลของการใช้เปลือกปูป่นในอัตราที่ต่างกัน ต่อการเจริญเติบโต ผลผลิตด้านความสูง น้ำหนักสด น้ำหนักแห้ง และปริมาณโคโรฟิลล์ ของไมโครกรีน 3 ชนิด ได้แก่ ไควาแระ ทานตะวัน และผักโขมแดง โดยวางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (Completely Randomized Design ; CRD) แบ่งเป็น 4 กรรมวิธี ดังนี้ กรรมวิธีที่ 1 ไม่ใส่เปลือกปูป่นผสมในดินปลูก 1 กิโลกรัม กรรมวิธีที่ 2 ใส่เปลือกปูป่น 0.5 ขีด ผสมในกินปลูก 1 กิโลกรัม กรรมวิธีที่ 3 ใส่เปลือกปูป่น 1 ขีด ผสมในกินปลูก 1 กิโลกรัม และกรรมวิธีที่ 4 ใส่เปลือกปูป่น 2 ขีด ผสมในดินปลูก 1 กิโลกรัม พบว่าความเป็นกรดด่าง (pH) และการเหนี่ยวนำกระแสไฟฟ้าในของเหลว (EC) ของไควาแระ ทานตะวัน และผักโขมแดง กรรมวิธีที่ใส่เปลือกปูป่นที่อัตรา 0.5 ขีด มีค่า pH ที่เหมาะสมที่สุด เนื่องจากต้นอ่อนจะเจริญเติบโตได้ดี อยู่ในช่วง pH ระหว่าง 7.66-8.66 และกรรมวิธีที่ใส่เปลือกปูป่น 0.5 ขีด ต่อดินปลูก 1 กิโลกรัม มีค่า EC ที่เหมาะสมที่สุด เนื่องจากต้นอ่อนจะเจริญเติบโตได้ดี อยู่ในช่วงค่า EC ระหว่าง 93.33-499.20 uS/cm ต้นอ่อนไควาแระ ในกรรมวิธีที่ไม่ผสมเปลือกปูป่น ให้ค่าเฉลี่ยในด้านการเจริญเติบโตความสูงของต้น น้ำหนักสด น้ำหนักแห้ง และปริมาณคลอโรฟิลล์ แตกต่างกันสถิติกับกรรมวิธีอัตรา 2 ขีด ผสมในดินปลูก 1 กิโลกรัม ที่ให้ค่าเฉลี่ยความสูง และปริมาณคลอโรฟิลล์ มากที่สุด ส่วนกรรมวิธีที่อัตรา 0.5 และ 1 ขีด ให้ค่าเฉลี่ยด้านน้ำหนักสด และน้ำหนักแห้ง มากที่สุด ไม่แตกต่างกันทางสถิติ ต้นอ่อนทานตะวัน กรรมวิธีที่ไม่ผสมเปลือกปูป่น ให้ค่าเฉลี่ยด้านการเจริญเติบโตความสูงของต้น ไม่แตกต่างกันทางสถิติกับกรรมวิธีที่ผสมเปลือกปูป่น อัตรา 0.5, 1 และ 2 ขีด ต่อ 1 กิโลกรัม กรรมวิธีที่ผสมเปลือกปูป่นอัตรา 1 ขีด ต่อดิน 1 กิโลกรัม ให้ค่าเฉลี่ยด้านน้ำหนักสด และปริมาณค่าคลอโรฟิลล์มากที่สุด ส่วนกรรมวิธีที่ไม่ผสมเปลือกปูม้าแตกต่างกันทางสถิติกับกรรมวิธีที่อัตรา 0.5, 1 และ 2 ขีด ต่อดินปลูก 1 กิโลกรัม ไม่แตกต่างกันทางสถิติ ต้นอ่อนผักโขมแดง ในกรรมวิธีที่ไม่ผสมเปลือกปูม้าป่นให้ค่าเฉลี่ยด้านการเจริญเติบโตความสูงของต้น น้ำหนักสด และน้ำหนักแห้ง ไม่แตกต่างกันทางสถิติกับกรรมวิธีที่อัตรา 0.5, 1 และ 2 ขีด ต่อดินปลูก 1 กิโลกรัม