เนื้อหาการอบรมเชิงปฏิบัติการวันที่หนึ่ง
การอบรมเชิงปฏิบัติการในวันแรกแบ่งออกเป็น ๒ หัวข้อหลัก ดังนี้
หัวข้อที่ 1: ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการขอกำหนดตำแหน่งทางวิชาการด้วยตำราและหนังสือ
ดำเนินการโดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.ชุติมา สัจจานันท์ วิทยากรได้ให้ความรู้เกี่ยวกับ เกณฑ์การขอกำหนดตำแหน่งวิชาการตามระเบียบ พ.ศ. ๒๕๖๔ โดยเน้นถึงเกณฑ์สำคัญสำหรับการขอกำหนดตำแหน่งด้วยตำราหรือหนังสือ ซึ่งมีข้อสรุปดังนี้:
- ตำรา ต้องเป็นผลงานที่มีลักษณะเป็นเอกสารหลักสำหรับการเรียนการสอนในระดับอุดมศึกษา โดยมีเนื้อหาที่แสดงถึงความเชี่ยวชาญในสาขาที่เกี่ยวข้อง และเขียนให้มีคุณค่าทางวิชาการที่ชัดเจน
- หนังสือ ต้องเป็นผลงานที่มีเนื้อหาเชิงวิชาการในเชิงลึก ซึ่งสะท้อนถึงพัฒนาความรู้ใหม่หรือความรู้ในสาขาเฉพาะทาง
เกณฑ์เพิ่มเติม:
- ผลงานทั้งสองประเภทต้องผ่านกระบวนการ ตรวจสอบโดยผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) อย่างน้อย ๓ ท่าน
- ผู้ทรงคุณวุฒิที่ประเมินหนังสือหรือตำราจะเป็นผู้ประเมินตำแหน่งวิชาการไม่ได้
- ผลงานต้องเขียนโดยผู้ขอในฐานะชื่อแรก ประกอบด้วยเนื้อหาอย่างน้อย ๕ บท และไม่น้อยกว่า ๘๐ หน้า
- สามารถเผยแพร่ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น e-book ได้
- หากหนังสือหรือตำราไม่ผ่านเกณฑ์ที่ ก.พ.อ. กำหนด สามารถปรับปรุงแก้ไขหรือเพิ่มเติมเนื้อหาเพื่อนำเสนอขอกำหนดตำแหน่งทางวิชาการใหม่ได้ แต่ต้องผ่านการประเมินคุณภาพใหม่อีกครั้ง
ข้อควรระวังสำคัญ:
- หลีกเลี่ยง การคัดลอกผลงานของผู้อื่น (Plagiarism) ซึ่งถือเป็นความผิดร้ายแรง หากเป็นการรวบรวมเนื้อหาเดิม ต้องระบุแหล่งที่มาชัดเจนและแสดงความคิดริเริ่มในการเรียบเรียงใหม่
เกณฑ์คุณภาพของหนังสือและตำราที่ผ่านการพิจารณาแบ่งตามระดับตำแหน่งทางวิชาการ ดังนี้:
-
ระดับผู้ช่วยศาสตราจารย์และรองศาสตราจารย์ (เกณฑ์ B):
- ตำรา: มีเนื้อหาสาระที่ถูกต้อง สมบูรณ์ ทันสมัย พร้อมแนวคิดและการนำเสนอที่ชัดเจน และเป็นประโยชน์ต่อการเรียนการสอนในระดับอุดมศึกษา
- หนังสือ: มีเนื้อหาสาระที่ถูกต้อง สมบูรณ์ ทันสมัย พร้อมแนวคิดและการนำเสนอที่ชัดเจน และเป็นประโยชน์ต่อวงวิชาการ
-
ระดับศาสตราจารย์ (เกณฑ์ A):
ใช้เกณฑ์พื้นฐานเดียวกับระดับ B แต่ต้องเพิ่มเติมคุณสมบัติดังนี้:
- ตำราและหนังสือ:
- มีการวิเคราะห์และเสนอความรู้หรือวิธีการที่ทันสมัยต่อความก้าวหน้าทางวิชาการ และเป็นประโยชน์ต่อวงวิชาการ
- มีการสอดแทรกความคิดริเริ่ม ประสบการณ์ หรือผลงานวิจัยของผู้เขียนที่แสดงถึงความรู้ที่มีประโยชน์ต่อการเรียนการสอนหรือวงวิชาการ
- สามารถนำไปใช้อ้างอิงอย่างกว้างขวางในวงวิชาการระดับชาติหรือระดับนานาชาติ พร้อมแสดงความละเอียดและความลุ่มลึกทางวิชาการในระดับสูง
หัวข้อที่ 2: การตั้งชื่อเรื่องและการจัดทำเค้าโครงตำราและหนังสือ
ดำเนินการโดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.ชุติมา สัจจานันท์, ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.สิริวรรณ ศรีพหล และศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.บุญทิพย์ สิริธรังศรี
เนื้อหาสำคัญประกอบด้วย:
-
การตั้งชื่อเรื่อง
- ชื่อเรื่องควรมีความชัดเจนและไม่ซ้ำกับผลงานที่มีผู้อื่นเรียบเรียงไว้ก่อนหน้า เพื่อแสดงถึงเอกลักษณ์และความแตกต่างของเนื้อหา
- ควรใช้ภาษาเชิงวิชาการที่เหมาะสมกับผลงาน เช่น หลีกเลี่ยงคำที่ไม่เป็นทางการหรือคำสแลง เช่นคำว่า “ปัง”
-
การจัดทำเค้าโครงตำรา
- หากเป็น ตำรา ควรคำนึงถึงความเชื่อมโยงกับ YLO (Year Learning Outcomes), CLO (Course Learning Outcomes) และ PLO (Program Learning Outcomes) เพื่อให้เนื้อหาในตำราสอดคล้องกับเป้าหมายการเรียนรู้ในระดับรายวิชาและหลักสูตร
- ตำราสามารถออกแบบให้ครอบคลุมทั้งรายวิชาหรือเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่งของรายวิชาก็ได้
-
โครงสร้างที่ครบถ้วน
- ทั้งตำราและหนังสือควรมีดัชนีค้นคำ (Index) เพื่อช่วยให้ผู้อ่านสามารถค้นหาเนื้อหาได้ง่ายและสะดวก
- เนื้อหาควรมีการนำเสนอที่ชัดเจนและมีลำดับขั้นตอนที่เหมาะสม
หัวข้อที่ 3: เทคนิคการใช้ภาษาเขียน การวิเคราะห์ สังเคราะห์องค์ความรู้ และสอดแทรกงานวิจัยในตำราและหนังสือ
ในกิจกรรมนี้ วิทยากรได้แบ่งผู้เข้าร่วมเป็นกลุ่มตามสาขาวิชา โดยในกลุ่มวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สมาชิกต้องนำเสนอชื่อเรื่องตำราหรือหนังสือพร้อมเค้าโครงเนื้อหา เพื่อรับข้อเสนอแนะและแนวทางปรับปรุง
หัวข้อที่ 4: องค์ประกอบของตำรา และเกณฑ์ประเมินตำราและหนังสือ
เนื้อหาสำคัญประกอบด้วย:
- การวางโครงสร้างตำราหรือหนังสือที่ครบถ้วน เช่น บทนำ, เนื้อหา, สรุป, และรายการอ้างอิง
- การเตรียมผลงานให้สอดคล้องกับเกณฑ์การประเมินคุณภาพ
หัวข้อที่ 5: เกร็ดน่ารู้ในการประเมินผลงาน จากประสบการณ์ของผู้ประเมินตำราและหนังสือ
วิทยากรได้แบ่งปันประสบการณ์เกี่ยวกับการประเมินผลงานตำราหรือหนังสือ พร้อมแนวทางในการหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่พบบ่อย
ประเด็นสำคัญเพิ่มเติม:
- การใช้ภาษาเขียนเชิงวิชาการ: ชื่อเรื่องและเนื้อหาต้องมีความชัดเจนและสอดคล้องกับลักษณะของผลงานในสาขานั้น ๆ
- การจัดทำเนื้อหาให้ตรงตามหลักวิชาการ:
- การวิเคราะห์และสังเคราะห์องค์ความรู้ที่เกี่ยวข้อง
- การแทรกงานวิจัย โดยเฉพาะงานวิจัยของตนเอง เพื่อแสดงความเชี่ยวชาญในศาสตร์ที่ศึกษา
ปัญหาที่พบบ่อยในการอ้างอิงเอกสาร:
- แหล่งอ้างอิงไม่น่าเชื่อถือ
- ขอบเขตของการอ้างอิงจำกัดอยู่เฉพาะภาษาไทย สถาบันใดสถาบันหนึ่ง หรือผู้เขียนคนใดคนหนึ่ง
- แหล่งอ้างอิงล้าสมัย
- การอ้างอิงมากเกินไปหรือน้อยเกินไป
- อ้างอิงไม่ครบถ้วนหรือไม่ถูกต้องตามรูปแบบ
- ไม่มีความสม่ำเสมอในการอ้างอิง
- การไม่อ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูล แนวคิด หรือผลงาน
ข้อแนะนำในการอ้างอิง
- ประเมินแหล่งอ้างอิง: ควรตรวจสอบว่าแหล่งที่มามีความน่าเชื่อถือและมีคุณภาพ
- อ้างอิงตามความเป็นจริง: การอ้างอิงต้องสอดคล้องกับข้อมูลหรือแนวคิดที่ใช้
- อ้างอิงตามความจำเป็นและสมควร: อ้างอิงในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากหรือน้อยเกินไป
- อ้างอิงให้ครบถ้วน: ควรระบุแหล่งที่มาของข้อความ แนวคิด รูปภาพ หรือผลงานของผู้อื่นอย่างชัดเจน
- อ้างอิงในตำแหน่งที่เหมาะสม: ระบุแหล่งอ้างอิงในส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้องและชัดเจน
การอ้างอิงที่มีคุณภาพและเหมาะสมไม่เพียงช่วยให้ตำราหรือหนังสือมีความน่าเชื่อถือและผ่านการประเมิน แต่ยังช่วยส่งเสริมความโปร่งใสและจริยธรรมทางวิชาการในงานเขียน
สรุป
การอบรมเชิงปฏิบัติการทั้งสองวันมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความเข้าใจใน หลักการจัดทำตำราและหนังสือที่มีคุณภาพ ช่วยให้ผู้เข้าร่วมสามารถผลิตผลงานวิชาการที่มีมาตรฐาน ตรงตามเกณฑ์การขอกำหนดตำแหน่งทางวิชาการ และสะท้อนความเชี่ยวชาญในสาขาของตนได้อย่างเหมาะสม.