การจัดการของเสียสารเคมีและของเสียอันตราย
วันที่เขียน 25/12/2567 15:27:30     แก้ไขล่าสุดเมื่อ 28/1/2568 12:50:02
เปิดอ่าน: 81 ครั้ง

การจัดการของเสียสารเคมีและของเสียอันตราย ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ดังนี้ 1.การจัดแยกประเภท 2.การจัดเก็บของเสีย 3.การบันทึกปริมาณของเสีย 4.การรายงานปริมาณของเสีย 5.การเก็บรวบรวมของเสียก่อนนำไปกำจัด

การจัดการของเสียสารเคมีและของเสียอันตราย

ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ดังนี้

1.การจัดแยกประเภท

2.การจัดเก็บของเสีย

3.การบันทึกปริมาณของเสีย

4.การรายงานปริมาณของเสีย

5.การเก็บรวบรวมของเสียก่อนนำไปกำจัด

กลุ่มของเสียอันตรายประเภทของแข็ง 5 ชนิด ได้แก่

  1. ขวดสารเคมีที่ใช้หมดแล้ว (ขวดเปล่า)
  2. เครื่องแก้วแตก ชำรุด หรือขวดสารเคมีแตก
  3. สารเคมีหมดอายุ เสื่อมสภาพ เป็นอันตราย ต่อสุขภาพ
  4. ขยะปนเปื้อนเชื้อโรค (และเชื้อตัดแต่งพันธุกรรม)
  5. ขยะปนเปื้อนสารเคมี

กลุ่มของเสียอันตรายพิเศษ 6 ชนิด ได้แก่

1.วัสดุกัมมันตรังสี

2.เชื้อโรค (และเชื้อตัดแต่งพันธุกรรม)

3.ของเสียจากโรงงานต้นแบบ

4.ปนเปื้อน EtBr

5.ยาเสื่อมสภาพ

6.ยาอันตรายสูง

แผนผังการจัดแยกของเสียสารเคมีและของเสียอันตราย

    แผนผังการจัดแยกของเสียสารเคมีและของเสียอันตราย ได้แก่ ของเสียอันตรายชนิดของแข็ง 5 ประเภท  ของเสียอันตรายพิเศษ 6 ประเภท ดำเนินการจัดแยกจัดเก็บของเสียโดยใช้แผนผัง และเกณฑ์ข้อกำหนดในการจัดแยกประเภทของเสียสารเคมีและของเสียอันตรายที่ชัดเจน  ตามขอบข่ายของประเภทของเสียสารเคมีและของเสียอันตรายในห้องปฏิบัติการที่ได้จัดแยกไว้    ส่วนของเสียอันตรายชนิดของเหลว  18 ประเภท มีความซับซ้อนเนื่องจากของเสียอาจเป็นสารเชิงซ้อนและของผสม  ซึ่งต้องมีการจัดการที่เป็นขั้นตอน จัดแยกตามแผนผังการจัดแยกของเสียสารเคมีและของเสียอันตราย โดยเรียงตามลำดับขั้นของอันตราย ต้องยึดหลักตามแผนผังการจัดแยกของเสียสารเคมีและของเสียอันตรายอย่างเคร่งครัด

หลักปฏิบัติในการจัดแยกและจัดเก็บของเสียสารเคมีและของเสียอันตราย

โดยใช้แผนผังและเกณฑ์ข้อกำหนดการจัดแยกประเภทของเสีย ได้แก่ บันทึกชนิด,ปริมาณ,ความเข้มข้นสารเคมี พิจารณากลุ่มสารเคมีตามแผนผังการจัดแยกประเภท

ขั้นตอนที่ 1 การพิจารณากลุ่มสารไวไฟและระเบิดได้ ต้องพิจารณาเป็นอันดับแรก  รหัส L12, L13, L18, L19 และ L20  เรียงลำดับขั้นของอันตราย (มากไปหาน้อย)

ขั้นตอนที่ 2  การพิจารณากลุ่มโลหะหนักและสารพิษ  รหัส L04, L05, L07, L08, L10 และ L11 เรียงลำดับขั้นของอันตราย (มากไปหาน้อย)  คำนวณความเข้มข้นของสารเคมีที่ใช้และความเข้มข้นของสารประกอบที่เป็นของเสียจากการวิเคราะห์ทดสอบ (แบบฟอร์ม HW01)  เปรียบเทียบความเข้มข้นของโลหะหนักและสารพิษ ตามมาตรฐานน้ำทิ้งอุตสาหกรรม

ขั้นตอนที่ 3  การพิจารณากลุ่มสารประกอบเชิงซ้อนอนินทรีย์/อินทรีย์ รหัส L14, L15, L16 และ L17 เรียงลำดับขั้นของอันตราย (มากไปหาน้อย)

ขั้นตอนที่ 4  การพิจารณากลุ่มสารที่เป็นกรด ด่าง และเกลือ รหัส L01, L02 และ L03 เรียงลำดับขั้นของอันตราย (มากไปหาน้อย)

 

การจัดเก็บของเสียอันตรายต้องคำนึงถึง

1.ภาชนะบรรจุของเสีย

2.ฉลากของเสีย

3.สถานที่จัดเก็บของเสีย

ภาชนะและอุปกรณ์ในการจัดเก็บของเสีย (ถังเก็บของเสียชนิดของเหลว)

ทำจากวัสดุ Polyethylene (PE) ทนต่อการกัดกร่อน  มีช่องบรรจุขนาดใหญ่  มีฝาปิด  มีที่หิ้ว ขนาดบรรจุ 30 ลิตร (สามารถบรรจุของเสียอันตรายที่เป็นของเหลวไม่เกิน 21 ลิตร 70%ของปริมาตรถัง)

ภาชนะและอุปกรณ์ในการจัดเก็บของเสีย (ถังเก็บของเสียชนิดของแข็ง)

ทำจากวัสดุ Polyethylene (PE) ทนต่อการกัดกร่อน มีช่องบรรจุขนาดใหญ่  มีฝาเปิด และฝาปิดที่สามารถล็อคปิดถังได้  มีที่หิ้ว ขนาดบรรจุ 100 ลิตร (สามารถบรรจุของเสียอันตรายที่เป็นของแข็งไม่เกิน 70%ของปริมาตรถัง) และควรมีถุงพลาสติกรองด้านในถัง

ภาชนะและอุปกรณ์ในการจัดเก็บของเสียถาดรอง  (ถังเก็บของเสีย)

ทำจากวัสดุ Polypropylene (PP)  สามารถรองรับถังเก็บของเสียขนาด 30 ลิตร  สามารถรองรับการรั่วไหลของของเสียได้ไม่น้อยกว่า 60%

 

ฉลากของเสียสารเคมีและของเสียอันตราย

การติดฉลาก เพื่อให้ทราบว่าสิ่งที่บรรจุอยู่นั้นเป็นของเสียประเภทใด และมีส่วนประกอบอะไร จำนวนเท่าไหร่

ส่วนประกอบของฉลาก

วันที่เริ่มบรรจุ  วันที่สิ้นสุดการบรรจุ  ชื่อหน่วยงานที่ผลิตของเสีย  ประเภทของเสีย   ส่วนประกอบและปริมาณของเสีย  การทำฉลากควรทำ 2 ใบ เพื่อติดด้านบนภาชนะบรรจุของเสีย และติดด้านข้างภาชนะบรรจุของเสีย

 

สถานที่จัดเก็บของเสียสารเคมีและของเสียอันตราย

สถานที่จัดเก็บแยกเป็น 3 ส่วน คือ สถานที่จัดเก็บของเสียภายในห้องปฏิบัติการ    สถานที่จัดเก็บของเสียภายในอาคารและสถานที่จัดเก็บรวบรวมของเสียส่วนกลาง และต้องมีป้ายบ่งบอกสถานที่เก็บของเสียอย่างชัดเจน

1.ลักษณะสถานที่จัดเก็บของเสียภายในห้องปฏิบัติการ

แยกออกจากส่วนปฏิบัติการ ไม่โดนแดดไม่ร้อน  อากาศถ่ายเทได้สะดวก แยกของเสียที่อยู่รวมกับของเสียชนิดอื่นไม่ได้ (Incompatibility) ไม่วางของเสียใกล้แหล่งจุดติดไฟ   เก็บของเสียไม่เกิน 200 ลิตรหากเป็นสารไวไฟต้องไม่เกิน 38 ลิตร ควรกำหนดระยะเวลาการเก็บในห้องปฏิบัติการ ควรย้ายไปเก็บที่สถานที่เก็บประจำอาคารทุกเดือน

2.ลักษณะสถานที่จัดเก็บของเสียประจำอาคาร

อยู่ชั้นล่างสุดของอาคาร ไม่โดนแดดไม่ร้อน  อากาศถ่ายเทได้สะดวก  แยกของเสียที่อยู่รวมกับของเสียชนิดอื่นไม่ได้ (Incompatibility) ไม่วางของเสียใกล้แหล่งจุดติดไฟ  เก็บของเสียไม่เกิน 3 เดือนให้ย้ายไปสถนที่เก็บส่วนกลาง

3.ลักษณะสถานที่จัดเก็บของเสียส่วนกลางของหน่วยงาน

โรงเรือนหรือพื้นที่บริเวณกว้าง  ไม่โดนแดดไม่ร้อน  อากาศถ่ายเทได้สะดวก แยกของเสียที่อยู่รวมกับของเสียชนิดอื่นไม่ได้ (Incompatibility) ไม่วางของเสียใกล้แหล่งจุดติดไฟ ห้องจัดเก็บมีประตูปิดมิดชิด  ส่งกำจัดของเสียที่โรงบำบัดของเสีย บริษัทที่ได้รับใบอนุญาต

 

ขั้นตอนการจัดเก็บของเสียในห้องปฏิบัติการ

1.สวมใส่ PPE (ถุงมือ แว่นตา เสื้อกาวน์)

2.บรรจุของเสียลงในภาชนะตวงเพื่อวัดปริมาณ

3.บันทึกปริมาณของเสียลงในแบบฟอร์มHZW02, 03, 04

4.บรรจุของเสียลงในภาชนะใส่ของเสียไม่เกิน 80%

5.ย้ายถังเก็บของเสียไปเก็บไว้ ณ จุดวางของเสียในห้องปฏิบัติการ

คำสำคัญ :
กลุ่มบทความ :
หมวดหมู่ :
แชร์ :
https://erp.mju.ac.th/acticleDetail.aspx?qid=1542
ความคิดเห็นทั้งหมด (0)
ไม่มีข้อมูลตามเงื่อนไขที่ท่านกำหนด
รายการบทความการแลกเปลี่ยนเรียนรู้หมวดหมู่ : กลุ่มงานช่วยวิชาการ
มาตรฐานความปลอดภัยห้องปฏิบัติการที่เกี่ยวกับสารเคมี (ESPReL Checklist) » มาตรฐานความปลอดภัยห้องปฏิบัติการ (ESPReL Checklist)
มาตรฐานความปลอดภัยห้องปฏิบัติการด้วย ESPReL Checklist ประกอบด้วย 7 องค์ประกอบหลัก คือ องค์ประกอบที่ 1 การบริหารระบบการจัดการความปลอดภัย องค์ประกอบที่ 2 ระบบการจัดการสารเคมี องค์ประกอบที่ 3 ระบ...
  กลุ่มงานตามสมรรถนะบุคลากร   กลุ่มงานช่วยวิชาการ
ผู้เขียน ภานรินทร์ ปรีชาวัฒนากร  วันที่เขียน 16/12/2567 15:44:32  แก้ไขล่าสุดเมื่อ 28/1/2568 11:53:27   เปิดอ่าน 368  ครั้ง | แสดงความคิดเห็น 0  ครั้ง