เหตุการณ์ฉุกเฉินทางสุขภาพจากภัยพิบัติอุบัติเหตุหรือการป่วยรุนแรง ส่งผลให้เกิดภาวะเสี่ยง ต่อการเสียชีวิต สิ่งสำคัญเร่งด่วนคือผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ขณะนั้นสามารถทำการกู้ชีพและปฐมพยาบาล อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยให้ผู้ป่วย หรือผู้บาดเจ็บที่หมดสติหยุดหายใจ หัวใจ หยุดเต้น จากสถานการณ์ฉุกเฉินต่างๆ เช่น ภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เฉียบพลัน จากการทำงานในที่อับอากาศ ไฟฟ้าช็อต อุบัติเหตุทางท้องถนน หรือผู้ป่วยจาก อาการของโรคที่มีอาการรุนแรง ซึ่งในช่วงเวลาสั้นๆ เมื่อเกิดการหยุดหายใจเป็นช่วงเวลาที่มี ความสำคัญมาก ผู้ป่วยอาจเสียชีวิตหรือสมองตายหากสมองขาดออกซิเจนนานเกิน 4 - 6 นาที การช่วยชีวิต ณ จุดเกิดเหตุอย่างถูกต้องและรวดเร็วจะช่วยให้ผู้ป่วยรอดชีวิต หรือยืดระยะเวลาให้ ผู้ป่วยได้รับการส่งต่อไปยังทีมแพทย์ฉุกเฉินได้อย่างปลอดภัย หลักการของการช่วยฟื้นคืนชีพ (Cardio Pulmonary Resuscitation:CPR) คือการช่วยให้เกิดการไหลเวียนของเลือดในร่างกายเพื่อป้องกันภาวะสมอง หัวใจ และเนื้อเยื่อของอวัยวะสำคัญ ขาดออกซิเจน ด้วยการกดหน้าอกและการช่วยหายใจในช่วงที่ผู้ป่วยหยุดหายใจและหัวใจหยุดเต้น การช่วยฟื้นคืนชีพด้วยการกดหน้าอกจะช่วยให้ผู้ป่วยรอดชีวิตได้ร้อยละ 3 – 5 กรณีที่ใช้เครื่องฟื้นคืนคลื่นหัวใจด้วยไฟฟ้าแบบอัตโนมัติหรือเครื่อง เออีดี(Automated External Defibrillator: AED) ร่วมด้วยจะช่วยเพิ่มอัตราการรอดชีวิตให้สูงขึ้นถึงร้อยละ 45-50 ปัจจุบันมักพบเครื่องเออีดี ติดตั้งอยู่ตามสถานที่สำคัญต่างๆ เพื่อให้สามารถนำไปใช้ในการช่วยชีวิตผู้ป่วยได้อย่างทันท่วงที การช่วยฟื้นคืนชีพ การใช้เครื่องเออีดีและการปฐมพยาบาลฉุกเฉิน จึงเป็นความรู้ขั้นพื้นฐาน ที่ประชาชนคนไทยทุกคนต้องได้รับการอบรม หรือเรียนรู้เพื่อเพิ่มโอกาสรอดของผู้ป่วยผู้บาดเจ็บ (สภากาชาดไทย,2563)
ภาวะหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาล (Out-of-hospital cardiac arrest: OHCA) เป็นภาวะฉุกเฉินที่ผู้ที่เกิดอาการควรได้รับการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน จากรายงานสถิติทั่วโลกพบอัตราการเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาลประมาณ 20-140 คนต่อประชากรแสนคน และมีผู้รอดชีวิตเพียงร้อยละ 2-11ภาวะหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาลเป็นปัญหาใหญ่ทางด้านสุขภาพในสหรัฐอเมริกาและในทวีปยุโรปซึ่งทุก ๆ ปีมีประชากรประมาณ 275,000-420,000 คน เสียชีวิตจากภาวะหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาล อุบัติการณ์ของภาวะหัวใจหยุดต้น สถานการณ์ทั่วโลกประมาณ 55 ต่อ 100,000 คน/ปีและอัตราอุบัติการณ์สูงที่สุดในสหรัฐอเมริกา 180,000-450,000 ราย/ปี(American Heart Association, 2020) จากสถิติข้างต้นยังมีคาดการณ์ภาวะหัวใจหยุดเต้นมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น สถานการณ์ของประเทศไทยจากสถิติอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยฉุกเฉินก่อนถึงโรงพยาบาลเฉพาะที่ใช้บริการระบบการแพทย์ฉุกเฉิน ปี2555-2560 จากฐานข้อมูลระบบสารสนเทศการแพทย์ฉุกเฉิน พบว่ามีแนวโน้มผู้เสียชีวิตนอกโรงพยาบาลที่ใช้บริการระบบการแพทย์ฉุกเฉินเพิ่มขึ้นจากจำนวน 7,776 คน (ปี2555) คิดเป็นอัตราเสียชีวิต 12.06 ต่อประชากรแสนคน เพิ่มเป็นจำนวน 13,580 คน (ปี2560) หรือคิดเป็นอัตราเสียชีวิต 20.52 ต่อประชากรแสนคน (Injury Surveillance, 2018) ในประเทศไทยยังไม่พบข้อมูลสถิติการเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาลที่ชัดเจน แต่คาดการณ์ได้ว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเนื่องจากอัตราป่วยจากโรคหัวใจขาดเลือดเพิ่มขึ้นในช่วง พ.ศ. 2559 - 2561 เช่นเดียวกัน โดยเพิ่มจาก 503.67คนต่อแสนประชากร เป็น 515.91คน ต่อแสนประชากร (สำนักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข, 2563) และพบว่าในประเทศไทย ปีค.ศ. 2010 มีผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ด้วยอาการเจ็บหน้าอกและมีกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันถึง 6,391 ครั้ง และพบอัตราตายจากกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน ร้อยละ 11.3 (Kiatchoosakun, 2012)ประเทศไทยแบ่งออกเป็น 4 ภูมิภาค ได้แก่เหนือ กลาง ใต้ และตะวันออกเฉียงเหนือ โดยแต่ละภูมิภาคจะมีโรงพยาบาลระดับตติยภูมิซึ่งเป็นโรงพยาบาลระดับโรงพยาบาลศูนย์หรือโรงเรียนแพทย์กระจายตัวอยู่ ทั้งนี้จากปัญหาดังกล่าวข้างต้นและความพร้อมของระบบบริการสุขภาพของประชาชนไทยกระจายตามแต่ละภูมิภาคการจะเข้าถึงระบบบริการสุขภาพในภาวะฉุกเฉินของแต่ละภูมิภาคอยู่ในระดับใด มีปัจจัยที่เกี่ยวข้องอย่างไรที่เกิดผลต่อการได้รับการบริการทางการแพทย์ฉุกเฉินซึ่งเกิดได้จากสภาพภูมิประเทศ รวมทั้งระบบการบริหารจัดการระบบให้บริหารแพทย์ฉุกเฉิน ซึ่งทั้งหมดนี้จะสอดรับกับแผนหลักการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ ฉบับที่ 3.1 พ.ศ. 2562– 2564 ที่ว่า“ลดการเสียชีวิตและความพิการจากการเจ็บป่วยฉุกเฉิน” ทั้งนี้ผู้ป่วยภาวะหัวใจหยุดเต้นเกิดได้จากหลายกรณีสมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา ระบุสาเหตุของภาวะหัวใจหยุดเต้นทั้งในเด็กและผู้ใหญ่เป็น 2สาเหตุหลัก ได้แก่สาเหตุด้านระบบหัวใจและหลอดเลือด และสาเหตุทางด้านการขาดออกซิเจน พบว่าผู้ใหญ่ที่เกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นมักเกิดจากภาวะหัวใจขาดเลือดซึ่งสัมพันธ์กับคลื่นไฟฟ้าหัวใจแบบ ventricular fibrillation ซึ่งการรักษาหลักคือ การช็อกหัวใจด้วยไฟฟ้า วัยเด็กมักพบว่าการขาดออกซิเจน เช่น ระบบทางเดินหายใจล้มเหลว ความดันโลหิตลดลงทำให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายไม่เพียงพอ เป็นต้น ผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บ ผู้ป่วยได้รับยาเกินขนาด ผู้ป่วยจมน้ำ ส่งผลให้ระบบหายใจล้มเหลวหรือมีเลือดไปเลี้ยงส่วนของร่างกายไม่เพียงพอทำให้อวัยวะของร่างกายขาดออกซิเจน (American Heart Association, 2006) และนอกโรงพยาบาลมีความสำคัญอย่างมากภาวะหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาล (OHCA: Out-of-hospital cardiac arrest) ที่เกิดขึ้นทั่วโลกพบว่ามีอัตราการรอดชีวิตเท่ากับ 2% - 11% (Meaney PA, 2013, Berdowski J, 2010) ภาวะหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาลเป็นภาวะฉุกเฉินที่ส่งผลต่อการเสียชีวิตสูงซึ่งควรได้รับการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน เวลาและความล่าช้าส่งผลต่อการรอดชีวิตของผู้ป่วยเป็นอย่างมาก American Heart Association (AHA) ให้ข้อมูลสนับสนุนว่าห่วงโซ่การรอดชีวิต ประเด็นการโทรขอความช่วยเหลือผ่านเบอร์โทรฉุกเฉิน( the emergency telephone number)เป็นสิ่งสำคัญในการช่วยชีวิตผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาล (Sutter J, 2015, Field JM, 2010)
สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าในในช่วงปีพ.ศ.2563-2564 พบว่ามีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มการระบาดของโรคตลอดทั้งปีส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วยโรคภาวะหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาลเป็นอย่างมาก ได้แก่การให้การช่วยเหลือที่ไม่เต็มที่ภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์ การเพิ่มขั้นตอนคัดกรองผู้ป่วยในการเข้ารับบริการ และการปรับตัวของผู้ป่วยในยุควิถีใหม่ เป็นต้นการศึกษาเกี่ยวกับระบบการให้บริการแพทย์ฉุกเฉินภาวะหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาลในประเทศอิตาลี่ พบว่าค่ามัธยมฐานของเวลาการมาถึงของรถปฏิบัติฉุกเฉินการแพทย์เพิ่มมากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้า (Baldi E, 2020) ในประเทศยังไม่ยังมีการศึกษาผู้ป่วยภาวะหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาลจำกัดในช่วงสถานการณ์ยุควิถีใหม่ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้ข้อเสนอแนะที่ดีต่อการให้บริการทางการแพทย์ฉุกเฉินภาวะหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาลของประเทศไทยทั้งนี้ ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับอัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยภาวะหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาล เป็นปัญหาสำคัญเรื่องหนึ่งของประเทศ ที่ยังไม่ค่อยมีข้อมูลและส่งผลกระทบต่อการพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉินซึ่งความจำเป็นที่จะต้องเข้าใจในบริบทสภาวะของการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ยุควิถีใหม่และหาแนวทางการพัฒนาระบบการให้บริการทางการแพทย์ฉุกเฉินผู้ป่วยภาวะหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาลในยุควิถีใหม่ เพื่อจะลดการสูญเสียทั้งทางด้านร่างกายจิตใจ สังคมและเศรษฐกิจ อันจะเกิดจากการให้ความช่วยเหลือไม่ถูกต้อง ไม่ทันท่วงที และการเข้าถึงทักษะผู้ช่วยเหลือชีวิต
ดังนั้น มหาวิทยาลัยแม่โจ้-แพร่ เฉลิมพระเกียรติ จึงเล็งเห็นถึงปัญหาดังกล่าว และเพื่อให้เข้าถึงทักษะผู้ช่วยเหลือชีวิตเพื่อมนุษย์ แก่นักศึกษามหาวิทยาลัยแม่โจ้-แพร่ ฯ ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศชาติ หากได้รับความรู้ที่ถูกต้องและได้รับการฝึกฝนคาดว่าจะสามารถนำความรู้ไปช่วยเหลือชีวิตผู้อื่นได้ นอกจากนั้นประชาชนทุกคนควรมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องการปฐมพยาบาลและการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานเพื่อช่วยเหลือคนในครอบครัวและสังคม อันจะนำมาซึ่งการดูแลสุขภาพในยามฉุกเฉินและในภาวะวิกฤติได้อย่างเข้มแข็งและยั่งยืนต่อไป
|