ความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosafety) และการรักษาความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity) มีความสำคัญในการป้องกันและควบคุมอันตรายที่เกี่ยวข้องกับชีวภาพ โดยความปลอดภัยเน้นการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค ขณะที่การรักษาความปลอดภัยเน้นการควบคุมการเข้าถึงและการใช้สิ่งมีชีวิตหรือสารชีวภาพที่มีความเสี่ยงสูง
โครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ "ความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosafety) และการรักษาความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity)" ซึ่งได้รับการอบรมในหัวข้อ ดังนี้:
1. พรบ. เชื้อโรคและพิษจากสัตว์ :
- กฎหมายว่าด้วยเรื่องเชื้อโรคและพิษจากสัตว์
- กฎหมายว่าด้วยเรื่องอาชีวอนามัย
- ข้อกำหนดของสหประชาชาติ
- ข้อกำหนดขององค์การอนามัยโลก
2. การรักษาความปลอดภัยทางชีวภาพ :
- ความหมาย องค์ประกอบ และหลักการด้านความปลอดภัยทางชีวภาพ
3. การจัดการความเสี่ยงทางชีวภาพ :
- ความสำคัญของการจัดการความเสี่ยงทางชีวภาพ
- การประเมินความเสี่ยง (Risk assessment)
- การจัดการและการควบคุมความเสี่ยงทางชีวภาพ
4. การปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยทางชีวภาพ :
- การออกแบบสถานที่ การจัดวางเครื่องมือและอุปกรณ์ ในสถานปฏิบัติการ (Facility Design)
- อุปกรณ์เพื่อความปลอดภัย (Safety Equipment)
- การปฏิบัติที่ดีทางจุลชีววิทยา (Good Microbiological Practice)
5. อุปกรณ์ปกป้องร่างกายส่วนบุคคล :
- ความหมายและความสำคัญของอุปกรณ์ PPE
- วิธีการเลือกใช้อุปกรณ์ PPE
- มาตรฐานเกี่ยวกับอุปกรณ์ PPE
- ชนิดของอุปกรณ์ PPE
6. อุปกรณ์เพื่อความปลอดภัย :
- ตู้ควบคุมแรงลม (Ventilated engineered hood): ตู้ชีวนิรภัย (Biological Safety Cabinet: BSC), Clean Bench และ Fume Hood
- เครื่องหมุนเหวี่ยง (Centrifuge)
7. การทำลายเชื้อโรค :
- ประเภท หลักการ และวิธีการทำลายเชื้อ หรือทำให้ปราศจากเชื้อจุลชีพ
- การเลือกใช้วิธีการทำลายเชื้อ หรือทำให้ปราศจากเชื้อจุลชีพที่เหมาะสม
- การประเมินประสิทธิภาพการทำลายเชื้อ หรือทำให้ปราศจากเชื้อจุลชีพ
8. การขนส่งเชื้อโรค :
- วิธีปฏิบัติในการบรรจุ การแสดงรายละเอียด และการ ขนส่งเชื้อโรคและพิษจากสัตว์
9. การกำจัดขยะ :
- กฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุข
- การเก็บรวบรวม การเคลื่อนย้าย และการกำจัดขยะประเภท ต่าง ๆ ได้แก่ ขยะทั่วไป ขยะติดเชื้อ ขยะมีคม ขยะรังสี ขยะ เคมี ขยะพิษ ซากสัตว์
10. การจัดการสารชีวภาพรั่วไหล :
- องค์ประกอบของชุดจัดการสารชีวภาพหกหล่น/รั่วไหล
- ขั้นตอนปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุสารชีวภาพหกหล่น/รั่วไหล ในสถานปฏิบัติการ ในตู้ชีวนิรภัย และในเครื่องมือ
- การรายงานอุบัติการณ์
นอกจากนี้ยังมีการฝึกอบอมภาคปฏิบัติ ได้แก่
1. ฝึกปฏิบัติส่วมใส่แลถอดชุด PPE :
- ฝึกการสวมใส่และการถอด PPE
- ฝึกการจัดการ PPE หลังใช้งาน
- ฝึกการล้างมือ
2. ฝึกปฏิบัติ spill :
- จำลองเหตุการณ์สารชีวภาพรั่วไหล ในสถานปฏิบัติการ ในตู้ชีวนิรภัย และในเครื่อง centrifuge
- ฝึกปฏิบัติการใช้ชุดจัดการสารชีวภาพรั่วไหล
- ฝึกการเขียนรายงานอุบัติการ
3. ฝึกปฏิบัติการออกแบบสถานที่ : ฝึกปฏิบัติการวางแผนผังในสถานปฏิบัติการ การแยกพื้นที่สะอาดและพื้นที่ปนเปื้อนการพิจารณาทิศ ทางการไหลเวียนของอากาศ การจัดวางเครื่องมือและอุปกรณ์ที่มีผลต่อความปลอดภัยทางชีวภาพ การกำหนด เส้นทางการเข้า-ออก ของคน ตัวอย่าง และวัตถุติดเชื้อ การจัดการพื้นที่เพื่อรักษาความปลอดภัยทางชีวภาพ
มีประโยชน์ต่อหน่วยงานดังนี้
1. ป้องกันอุบัติเหตุและการติดเชื้อ : การอบรมช่วยให้บุคลากรเข้าใจถึงวิธีการปฏิบัติงานอย่างปลอดภัย ลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อหรือการบาดเจ็บจากสารชีวภาพที่เป็นอันตราย
2. เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน : บุคลากรที่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องความปลอดภัยทางชีวภาพสามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมั่นใจมากขึ้น
3. ลดความเสี่ยงของการปนเปื้อน : การอบรมช่วยให้บุคลากรตระหนักถึงวิธีการป้องกันการปนเปื้อนในห้องปฏิบัติการ ซึ่งมีผลต่อความถูกต้องและความน่าเชื่อถือของผลการทดลอง
4. ปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐาน : การอบรมช่วยให้บุคลากรรู้จักและปฏิบัติตามกฎหมาย ข้อบังคับ และมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยทางชีวภาพ
5. ส่งเสริมวัฒนธรรมความปลอดภัย : การอบรมสร้างจิตสำนึกในเรื่องความปลอดภัยในองค์กร ทำให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการรักษาความปลอดภัยและป้องกันอุบัติเหตุ
6. การตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉิน : บุคลากรที่ผ่านการอบรมจะสามารถตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉินได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
7. ป้องกันการนำสารชีวภาพไปใช้ในทางที่ผิด : ช่วยลดความเสี่ยงที่สารชีวภาพจะถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด
8. เสริมสร้างความน่าเชื่อถือ : หน่วยงานที่มีการอบรมความปลอดภัยทางชีวภาพจะได้รับความน่าเชื่อถือ
9. รักษาสุขภาพและความปลอดภัยของบุคลากร : ทำให้บุคลากรมีสุขภาพที่ดีและสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว