“การแพทย์แผนไทย” ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 หมายความว่า กระบวนการทางการแพทย์เกี่ยวกับการตรวจ วินิจฉัย บำบัด รักษาหรือป้องกันโรค หรือการส่งเสริมและฟื้นฟูสุขภาพของมนุษย์และสัตว์ การผดุงครรภ์ การนวดไทย และให้หมายรวมถึงการเตรียมการผลิตยาแผนไทย และการประดิษฐ์อุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ ทั้งนี้ โดยอาศัยความรู้หรือตำราที่ได้ถ่ายทอดและพัฒนาสืบต่อกันมา
ในการประกอบโรคศิลปะการแพทย์แผนไทย จะมีใบประกอบโรคศิลปะ 4 สาขา คือ สาขาเวชกรรมไทย (เป็นสาขาที่สามารถทำหน้าที่ได้ทั้งเวชกรรมไทย เภสัชกรรมไทย ผดุงครรภ์ไทย และนวดไทย) สาขาเภสัชกรรมไทย สาขาผดุงครรภ์ไทย และสาขานวดไทย โดยผู้ที่จะสามารถประกอบโรคศิลปะในแต่ละสาขาได้นั้น จะต้องสอบผ่านและได้รับใบประกอบโรคศิลปะในสาขานั้น ๆ บุคคลทั่วไปที่ไม่มีใบประกอบโรคศิลปะ ไม่สามารถประกอบอาชีพเหล่านั้นได้ การได้มาซึ่งใบประกอบโรคศิลปะในแต่ละสาขานั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องได้ครบทั้ง 4 สาขาจึงจะประกอบโรคศิลปะได้ ใครได้สาขาอะไรก็สามารถประกอบโรคศิลปะในสาขานั้น ๆ ได้
ในปัจจุบัน “การแพทย์แผนไทย” มีชื่อเสียงและขยายการยอมรับเป็นวงกว้าง แพทย์แผนไทยในอนาคตจะไม่เป็นเพียงแค่แพทย์ทางเลือก แต่จะเป็นแพทย์ทางหลักที่คนไทยใช้รักษาตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย ทุกวันนี้โรงพยาบาลทั่วประเทศจำเป็นต้องมีแพทย์แผนไทยไว้คอยบริการเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเลือกได้ว่าจะรักษาด้วยแพทย์แผนไทยหรือไม่ ที่สำคัญโรงพยาบาลจะรักษาผู้ป่วยอย่างเท่าเทียมไม่ว่าจะใช้วิธีการใด เมื่อทำได้ก็จะสามารถผลักดันให้เป็นแนวทางหลักของชาติได้ง่ายขึ้น การผลักดันให้สมุนไพรไทยและแพทย์แผนไทยทั้งระบบเข้าสู่ระดับมาตรฐานสากล โดยเฉพาะในแถบประเทศสมาชิกอาเซียน หากประเทศไทยป้อนสมุนไพรเข้าสู่ตลาดโลกก็จะสร้างมูลค่าเศรษฐกิจให้กับประเทศได้ มองไปยังห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ หรือแม้แต่ร้านยาตามชุมชน “สมุนไพรไทย” ในรูปแบบต่างๆ มีจำหน่ายให้เลือกสรรอย่างแพร่หลาย ยังไม่นับ “การนวดไทย” และศาสตร์การรักษาที่ควบคู่ไปกับแผนปัจจุบันตามสถานพยาบาลต่างๆ สะท้อนถึง ความนิยม และการขยายตัวของ “แพทย์แผนไทย”
การพัฒนาระบบสมุนไพรรวมถึงแพทย์แผนไทย ถึงแม้จะใช้เวลานานแต่ก็ต้องทำ หากเราจะสร้างมูลค่าในตลาดสากลให้ได้ ต้องทุ่มเททรัพยากรสร้างนักวิจัยขึ้นมา ต้องพัฒนาด้านการวิจัยเกี่ยวกับสมุนไพรให้เป็นที่ยอมรับ ซึ่งตำรับยาดั้งเดิมนั้นมีคุณค่าและไม่ควรจะปล่อยให้สูญหายไป แต่การจะไปแข่งขันกับแพทย์แผนปัจจุบัน จะเสนอเพียงให้ผู้ป่วยมั่นใจและศรัทธาอย่างเดียวก็คงไม่ได้ ไม่เพียงพอ ดังนั้น รัฐบาลต้องลงทุนโดยเฉพาะเรื่องงบประมาณด้านการวิจัยให้ควบคู่ไปพร้อมกับงานด้านวิชาการ ซึ่งเป็นทิศทางที่นักวิจัยรุ่นใหม่จะต้องทำ เพื่อให้มีผลการวิจัยมารับรองแพทย์แผนไทยเพิ่มทำให้เกิดความมั่นใจในการนำไปใช้งานได้จริงในปัจจุบัน