ความหลากหลายของสายพันธุ์กัญชา
วันที่เขียน 7/10/2562 9:47:03     แก้ไขล่าสุดเมื่อ 19/4/2567 14:41:05
เปิดอ่าน: 39330 ครั้ง

กัญชาเป้นพืชที่มีทั้งประโยชน์และโทษ ประโยชน์ที่มีการศึกษาการอย่างแพร่หลายคือมีสาร CBD และ THC ที่ใช้นำมารักษาโรค โดยสัดส่วนของปริมาณทั้งสองมีความจำเพาะในแต่ละโรค ดังนั้นจึงต้องศึกษาถึงสายพันธุ์ของกัญชา การผลิตกัญชาลุกผสม เพื่อจะได้สาร CBD และ THC ที่เหมาะสมกับความต้องการใช้ประโยชน์ แต่ยังต้องพึงระวังว่ากัญชานั้นยังมีส่วนที่เป็นพิษต่อร่างกาย ดังนั้นจึงต้องศึกษาให้ดี ใช้ตามคำแนะนำของแพทย์ จึงจะปลอดภัยที่สุด

ความหลากหลายของสายพันธุ์กัญชา 

ต้นกัญชา (Marijuana) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Cannabis sativa L. Subsp. indica (Lam.) E. Small & Cronquist

สารสำคัญที่มีในกัญชา คือ 

THC (Tetrahydrocannabinol) ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย มีผลต่อจิตประสาท ลดความตึงเครียด แต่ต้องใช้ปริมาณที่เหมาะสม และ CBD (Cannabidiol) ช่วยลดอาการอักเสบของบาดแผล ลดอาการเจ็บปวด ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง

กัญชาไม่ใช่พืชที่สามารถรักษาได้ทุกโรค กัญชาแต่ละสายพันธุ์ก็มีสารประกอบต่างๆ ในปริมาณที่แตกต่างกัน เราจึงจำเป็นต้องศึกษาให้แน่ใจก่อนว่าปริมาณสาร CBD และ THC ที่มีในกัญชาเหมาะสมกับโรคที่จะรักษาหรือไม่ เพราะนอกเหนือจากสาร CBD และ THC แล้ว กัญชายังมีสารประกอบอื่นๆ อีกมากทั้งที่มีประโยชน์และมีพิษ

สายพันธุ์หลักของกัญชาที่น่าสนใจ ได้แก่

 1. สายพันธุ์ซาติว่า (Cannabis sativa L.)

ส่วนมากมาจากแถบบริเวณเส้นศูนย์สูตร (ประเทศโคลัมเบีย, เม็กซิโก และ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) มีลำต้นสูงผอม ใบแคบ และมีสีเขียวอ่อน เจริญเติบโตเร็วกว่าเมื่อเทียบกับสายพันธุ์อินดิก้า และมีความสูงของต้นถึง 20 ฟุตในหนึ่งฤดู ใช้ระยะเวลาประมาณ 10 ถึง 16 สัปดาห์กว่าจะเจริญเติบโตเต็มที่ มีรสชาติตั้งแต่รสคล้ายดินไปจนถึงรสหวานคล้ายผลไม้ มักจะทำให้เกิดอาการหวาดระแวงและอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ ดังนั้นสายพันธุ์ซาติว่าจึงไม่ค่อยถูกเลือกมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ในการรักษาโรค ข้อดีของสายพันธุ์ซาติว่า คือทำให้รู้สึกดี ช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้า, อาการเมื่อยล้า, กระตุ้นความอยากอาหาร, อาการเจ็บปวด และอาการคลื่นไส้ สายพันธุ์ซาติว่ายังเป็นสายพันธุ์ที่เคยได้รับความนิยมและมีจำหน่ายในทางตอนเหนือของอเมริกาในช่วงยุค 60s และ 70s แม้ว่าสายพันธุ์ซาติว่าจะค่อนข้างหายาก แต่มันยังคงเป็นที่ต้องการของนักปรับปรุงพันธุ์ที่ใช้ข้อมูลทางพันธุกรรมในการออกแบบสายพันธุ์ลูกผสมต่างๆ

 2. สายพันธุ์อินดิก้า Cannabis indica Lam.

พบมากในแถบตะวันออกกลาง เช่น ประเทศอัพกานิสถาน จีน ทิเบต เนปาล บริเวณที่มีอากาศแห้ง ลักษณะต้นเตี้ยเป็นพุ่ม ใบกว้างมักจะมีสีเขียวเข้ม เพราะมีคลอโรฟีลล์มาก ดอกแน่นติดกัน มีค่า THC ต่ำ แต่ค่า CBD สูงกว่าสายพันธุ์ซาติว่า นิยมนำดอกมาสกัดเป็นน้ำมันใช้ในทางการแพทย์ เพื่อการผ่อนคลาย หลังจากที่เริ่มออกดอกมันจะมีการเจริญเติบโตอย่างเต็มที่ภายใน 6 ถึง 8 สัปดาห์ และเป็นสายพันธุ์ที่เหมาะสำหรับการปลูกในร่ม เนื่องจากลำต้นไม่สูงเท่ากับสายพันธุ์ซาติว่า ดอกมีลักษณะอวบและหนาแน่น มีรสชาติและกลิ่นหอมที่หลากหลายตั้งแต่รสชาติกลิ่นเหม็นฉุน ไปจนถึงรสชาติกลิ่นหอมหวานคล้ายผลไม้ สายพันธุ์อินดิก้ามีฤทธิ์ในการต่อสู้กับอาการเจ็บปวด, ฤทธิ์ระงับประสาท และฤทธิ์ในการผ่อนคลายมากที่สุด ผู้ป่วยมักจะใช้สายพันธุ์อินดิก้า เพื่อช่วยบรรเทาอาการนอนไม่หลับและอาการเจ็บปวดรุนแรงในช่วงท้ายของวัน เนื่องจากมีฤทธิ์ที่ทำให้มึนเมาอย่างมาก คุณสมบัติในการระงับประสาทและระงับความเจ็บปวดทำให้มันเป็นที่ต้องการอย่างมากของผู้ป่วยทางการแพทย์

3. สายพันธุ์รูเดอราลิส Cannabis Ruderlis Janisch

มีต้นกำเนิดในตอนกลางของรัสเซีย มีปริมาณสาร THC เพียงเล็กน้อยและเป็นสายพันธุ์ที่แทบจะไม่มีการปลูกขึ้นเพื่อการสูบสันทนาการ แต่มีสาร CBD ในปริมาณมาก ดังนั้นจึงได้รับความนิยมอย่างมาก นอกจากนี้สายพันธุ์รูเดอราลิสยังมีความน่าสนใจในเรื่องของการออกดอกที่ขึ้นอยู่กับอายุ แทนที่จะเป็นวงจรของแสง คือการออกดอกแบบ autoflowering หมายความว่าถึงแม้ว่าจะปลูกสายพันธุ์นี้ในร่มภายแสงไฟตลอด 24 ชั่วโมง แต่มันจะออกดอกตามตารางเวลาทางพันธุกรรมของมันเอง ดังนั้นเมื่อนำสายพันธุ์นี้ไปผสมข้ามสายพันธุ์กับสายพันธุ์อินดิก้าหรือสายพันธุ์ซาติว่า ผลที่ได้ก็จะมีแนวโน้มที่จะออกดอกแบบ autoflowering และมีปริมาณสาร CBD ที่สูงขึ้น

การพัฒนาสายพันธุ์กัญชา

ประโยชน์ของการผสมพันธุ์ข้ามสายพันธุ์คือ นักปรับปรุงพันธุ์สามารถสร้างสายพันธุ์ที่ตรงกับความต้องการของผู้ปลูกและผู้ป่วยได้ ซึ่งในปัจจุบันสายพันธุ์ลูกผสมเป็นที่นิยมในตลาด เนื่องจากมีปริมาณสารสำคัญตรงตามความต้องการในการใช้ประโยชน์ เช่น

1. สายพันธุ์ลูกผสมแบบซาติว่าเด่น (Hybrid Sativa Dominant)

สายพันธุ์ลูกผสมแบบซาติว่าเด่นเป็นที่ต้องการในฐานะยารักษาโรคที่มีคุณสมบัติในการสร้างแรงจูงใจโดยไม่ทำให้มีอาการหวาดระแวงเหมือนกับสายพันธุ์ซาติว่าบริสุทธิ์ ซึ่งสายพันธุ์ซาติว่าเด่นทำให้รู้สึกดี, กระปรี้กระเปร่า และทำให้รู้สึก high ทางสมอง เหมาะสำหรับการสูบในเวลากลางวัน นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติเป็นยาต้านอาการซึมเศร้าและมีการกระตุ้นความอยากอาหาร ทั้งยังมีประโยชน์มากมายที่สามารถใช้เป็นยารักษาโรคได้

2. สายพันธุ์ลูกผสมแบบอินดิก้าเด่น (Hybrid Indica Dominant)

สายพันธุ์ลูกผสมแบบอินดิก้าเด่นถือว่าเป็นสายพันธุ์ที่ดีที่สุด และเป็นที่ชื่นชมอย่างกว้างขวางในด้านของประโยชน์ทางการแพทย์ เช่น สายพันธุ์คุช (Kush) มีคุณสมบัติมากมายที่ตรงกับความชื่นชอบของทั้งผู้ปลูกและผู้ป่วย เพราะฉะนั้นกัญชาทางการแพทย์ส่วนใหญ่มักจะเป็นสายพันธุ์ลูกผสมอินดิก้า

3. สายพันธุ์ลูกผสมอินดิก้ากับรูเดอราลิส

 สายพันธุ์นี้จะมีระดับสาร CBD ที่สูงขึ้น ทำให้สายพันธุ์เหล่านี้มีประโยชน์ที่ช่วยในการนอนหลับสำหรับผู้ที่ทุกข์ทรมานจากอาการบาดเจ็บ, อาการนอนไม่หลับ หรืออาการอักเสบรุนแรง

ปัจจุบันได้มีความก้าวหน้าในการพัฒนาสายพันธุ์ต่างๆ ขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ ดังนี้

การพัฒนาสายพันธุ์กัญชาที่มีค่าเฉลีย THC สูงสุด 5 อันดับแรก ประจำปี 2019 (จัดอันดับโดย https://www.marijuanabreak.com)

1.      สายพันธุ์ Chem BerryD : THC 25-32 %

ด้วยปริมาณTHC สูงสุดถึง 32% ส่งผลให้ Chem BerryD เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในปัจจุบัน ส่งผลประหนึ่งรับยากล่อมประสาทปริมาณมหาศาลเข้าร่างกายอย่างรวดเร็ว และยังมีกลิ่น Terpene ที่ซับซ้อนระหว่างกลิ่นผลไม้ Fruity และ กลิ่น Chemical fuel เข้าไว้ด้วยกัน ข้อที่ดีของสายพันธุ์นี้คือ ปลูกได้ค่อนข้างง่าย ใช้เวลาเพียง 10 สัปดาห์ในการออกดอก สามารถปลูกได้ทั้งในที่ร่มและที่แจ้ง ให้ผลผลิตมาก ต้นมีขนาดไม่ใหญ่มากเกินไป เจริญได้ในสภาพอากาศที่หลากหลาย

2.      สายพันธุ์ Bruce Banner BX2.0 : THC 25-30%

สายพันธุ์นี้มีปริมาณ THC สูงถึง 30% เป็นลูกผสมระหว่าง Strawberry Diesel และ Bruce Banner#3 โตเร็ว ให้ผลผลิตมาก ใช้เวลาโดยปกติ10 สัปดาห์ในการออกดออก

3.      Hulk berry : THC 27%

เป็นสายพันธุ์ที่แข็งแรง ต้นสูง และเต็มไปด้วยกลิ่นหอมๆ ของ berry ระดับ THC ประมาณ 27%ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเป่า เพลิดเพลินได้ยาวนาน (ถ้าใช้ในปริมาณที่เหมาะสม)

4.      Original Glue : THC 24-30%

สายพันธุ์ในกลุ่ม Glue ลักษณะของยางเหนียวๆ ของเกสรอันอุดมสมบูรณ์ในช่อดอก อันเป็นเอกลักษณ์ของสายพันธุ์นี้ โดย Original Glue เป็นลูกผสมระหว่าง Chem’s Sister, Chocolate Diesel และ Sour Dubb ด้วยความหลากหลายนี้ทำให้ได้รสชาติเฉพาะและปริมาณ THC ที่สูงสุดถึง30%

5.      Girl Scout cookies : THC 25-28%

Girl Scout Cookies มีกลิ่นหอมที่ซับซ้อน มีทั้งความหวานหอมจากผลไม้ บวกกับกลิ่นมิ้นต์ ที่สดชื่น ทำให้ร่างกายผ่อนคลาย

การพัฒนาสายพันธุ์กัญชาที่มีค่าเฉลีย CBD สูง เพื่อใช้ทางการแพทย์

ปัจจุบันมีหลายประเทศทั่วโลกที่อนุญาตให้ใช้ CBD ทางการเเพทย์ รวมทั้งประเทศไทยที่อนุญาตให้ผู้ป่วยสามารถใช้กัญชาทางการเเพทย์ได้ ถึงเเม้ว่าจะยังไม่สามารถปลูกพืชชนิดนี้ได้อย่างถูกกฏหมายได้ในประเทศไทย สายพันธุ์กัญชาที่ถูกปลูกขึ้นเพื่อที่จุดประสงค์หลักก็คือการนำไปรักษาผู้ป่วยในโรคต่างๆ เรียกว่า “สายพันธุ์ CBD” โดยสายพันธุ์กัญชาที่นิยมนำมาใช้ทางการเเพทย์ส่วนใหญ่จะเน้นสายพันธุ์ที่มี CBD สูงๆ แต่มี THC ที่ต่ำหรือใกล้เคียง สาเหตุที่มีการผลักดันให้ใช้ CBD ทางการเเพทย์มากกว่า ก็เป็นเพราะมันมีประโยชน์ในการรักษาที่คล้ายกันกับ THC แต่ CBD นั้นไม่สามารถทำให้เราเมาได้เหมือนกับ THC สาร CBD จึงดูเหมาะสมที่จะนำมาใช้ทางการเเพทย์มากกว่า แต่อย่างไรก็ตามโรคบางโรคนั้นต้องใช้ทั้ง CBD และ THC ควบคู่กันไปในการรักษา เช่น โรคมะเร็ง บรรเทาอาการปลายปอกประสาทเสื่อม

1.      Cannatonic

Cannatonic เป็นสายพันธุ์ที่มี CBD ที่สูง เป็นลูกผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่าง Reina Madre และ NYCD มีปริมาณ CBD และ THC อยู่ในอัตราส่วน 1:1 เป็นสายพันธุ์ที่เหมาะสม จะนำไปทำเป็นยา

2.      CBD Therapy

เป็นสายพันธุ์ที่มีปริมาณ THC เพียง 0.5% แต่มี CBD สูงถึง 10% ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันกัญชาหรือสเปรย์นั้นสามารถใช้สายพันธุ์นี้ในการผลิตได้ เหมาะกับผู้ป่วยที่ต้องการใช้ยา แต่ไม่ต้องการอาการมึนเมา ทำให้ไม่กระทบต่อการทำงานหรือแม้กระทั่งกิจกรรมอื่นๆ

3.      Candida (CD-1)

เป็นสายพันธุ์ที่ถูกผสมกันระหว่างพันธุ์ AC/DC กับ Harlequin มี CBD ที่สูงถึง 11-20% และ THC ที่ 0.5% เป็นสายพันธุ์ที่มี CBD สูงที่สุด และ THC ต่ำที่สุดในสายพันธุ์กัญชาทางการแพทย์ที่มีอยู่ในตลาดปัจจุบัน

4.      Juanita La Lagrimosa

เป็นสายพันธุ์ที่ผสมกันของ Reina Madre และสายพันธุ์ Mexico/afgana เป็นสายพันธุ์ที่เหมาะสำหรับการนำมาทำน้ำมันกัญชาสกัด ด้วยอัตราส่วน THC และ CBD แบบ 1:1 โดยมี CBD อยู่ที่ 7-8% THC อยู่ประมาณ 6-7% เหมาะกับผู้ป่วยที่ต้องการทั้ง THC และ CBD ในการรักษาโดยที่ไม่ต้องการผลข้างเคียงจาก THC

5.      OG Kush CBD

มีปริมาณ CBD สูง สามารถนำมาใช้บรรเทาอาการปวด ลดความตึงเครียด วิตกกังวล อีกทั้งยังช่วยให้เรานอนหลับสบายอีกด้วย

ที่มา : 

https://www.cannabis.info/en/strains-top-10-lists/high-thc

https://www.honestdocs.co/interesting-cannabis-medicinal-properties

https://www.wikileaf.com/strain/thai-sticks/

https://www.marijuanabreak.com/best-and-strongest-marijuana-strains-of-2018

 

 

 

 

 

 

คำสำคัญ :
กลุ่มบทความ :
หมวดหมู่ :
แชร์ :
https://erp.mju.ac.th/acticleDetail.aspx?qid=1065
ความคิดเห็นทั้งหมด (0)
ไม่มีข้อมูลตามเงื่อนไขที่ท่านกำหนด
รายการบทความการแลกเปลี่ยนเรียนรู้หมวดหมู่ : กลุ่มงานช่วยวิชาการ
สรุปรายงานจากการอบรม » การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการอ่านลำดับสายยาวด้วย oxford nanopore sequencing
ทคโนโลยี nanopore เป็นเทคโนโลยีการหาลำดับ DNA และ RNA แบบสายยาวต่อเนื่อง โดยไม่ต้องใช้กระบวนการสังเคราะห์ DNA ต้นแบบ ไม่ทำต้องปฏิกิริยา PCR จึงทำให้การวิเคราะห์ลำเบสต่างๆมีความแม่นยำ รวดเร็ว และประ...
DNA sequencing, nanopore technology     กลุ่มงานตามสมรรถนะบุคลากร   กลุ่มงานช่วยวิชาการ
ผู้เขียน วริศรา สุวรรณ  วันที่เขียน 17/4/2567 14:00:14  แก้ไขล่าสุดเมื่อ 18/4/2567 16:13:45   เปิดอ่าน 6  ครั้ง | แสดงความคิดเห็น 0  ครั้ง
พัฒนาตนเอง-นงคราญ » “การผลิตคราฟต์เบียร์ ขนาด 20 ลิตร"
จากการเข้าร่วมอบรมเชิงปฏิบัติการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาหาร “อุดมคติ On Tour" เรื่องหัวข้อ “การผลิตคราฟต์เบียร์ ขนาด 20 ลิตร วันที่ 25 พฤศจิกายน 2566 ได้รับความรู้เกี่ยวกับการผลิตคราฟต์เบียร์ ...
กลุ่มงานช่วยวิชาการ  การผลิตคราฟต์เบียร์  เบียร์ (ฺBeer)  พัฒนาตนเอง  อบรม  อบรมเชิงปฏิบัติการ     กลุ่มงานตามสมรรถนะบุคลากร   กลุ่มงานช่วยวิชาการ
ผู้เขียน นงคราญ พงศ์ตระกุล  วันที่เขียน 9/1/2567 14:47:56  แก้ไขล่าสุดเมื่อ 19/4/2567 13:47:07   เปิดอ่าน 656  ครั้ง | แสดงความคิดเห็น 0  ครั้ง
การประชุมวิชาการระดับชาติ » งานประชุมวิชาการระดับชาติประจำปี 2566 เรื่อง นวัตกรรมเกษตรอาหาร และสุขภาพ
จากการได้เข้าร่วมประชุมวิชาการระดับชาติซึ่งการจัดการประชุมเพื่อส่งเสริมให้บุคลากรทางการศึกษา วิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้านการเกษตร อาหาร สุขภาพ และสิ่งแวดล้อม ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน...
  กลุ่มงานตามสมรรถนะบุคลากร   กลุ่มงานช่วยวิชาการ
ผู้เขียน ภานรินทร์ ปรีชาวัฒนากร  วันที่เขียน 4/1/2567 14:54:51  แก้ไขล่าสุดเมื่อ 16/4/2567 7:46:27   เปิดอ่าน 126  ครั้ง | แสดงความคิดเห็น 0  ครั้ง